ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในงานสัมมนา SET in The Rabbit Hole : หุ้นไทยปีกระต่าย 2023 จับสัญญาณหุ้นไทย จัดพอร์ตอย่างไรให้รอด จัดโดยฐานเศรษฐกิจ ว่า การเกิดวิกฤตต่าง ๆ จะนำไปสู่โอกาสในการลงทุน โดยเฉพาะวิกฤตสถาบันการเงินล้มในยุโรปและสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้
ทั้งนี้มองว่า ในช่วง 17-18 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดวิกฤตต่าง ๆ เกิดขึ้นในโลกประมาณ 8 ครั้ง โดยวิกฤตแต่ละครั้งเมื่อผ่านไปแล้วมักจะนำมาสู่โอกาส ถือเป็นช่วงที่นักลงทุนจะหาจังหวะเข้ามาซื้อหุ้นที่มีผลตอบแทนดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ผลตอบแทนในช่วง 3 เดือน และ 6 เดือน ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 30%
“วิกฤตแบงก์ล้มในยุโรปและสหรัฐฯ ตอนนี้ยังห่างไกลช่วงเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์มาก ๆ โดยตอนนั้นนักลงทุนกังวลเรื่องการล้มเหลวของแบงก์ในสหรัฐ และยุโรป แต่ตอนนี้เป็นความเสี่ยงเฉพาะกลุ่ม ไม่ลุกลามไปทั้งระบบ และถือเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่ดีมาก ๆ ซึ่งเชื่อว่า ในวิกฤตรอบนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วนักลงทุนต่างชาติจะกลับมาภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า” ดร.วิศิษฐ์ ระบุ
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า ตอนเกิดวิกฤตซับไพรม์ที่ผ่านมาพบว่าค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นประมาณ 5% แต่วิกฤตรอบนี้ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง จึงเชื่อว่า เงินจะทยอยไหลเข้าสู่เอเชียในไม่ช้า โดยนักลงทุนสามารถติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งเบื้องต้นกลุ่มที่น่าจะยังคงเติบโตได้หลังผ่านวิกฤตรอบนี้ไปแล้ว คือ กลุ่มธุรกิจ Healthcare หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ กลุ่ม Utilities หรือธุรกิจด้านสาธารณูปโภค รวมทั้งกลุ่มสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง
อย่างไรก็ตามสรุปได้ว่า การเกิดวิกฤตกับแบงก์ในยุโรปและสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงเฉพาะตัว โดยสภาพคล่องของแบงก์ในยุโรปยังคงมีสูง โดยสิ่งที่เห็นในไตรมาสที่ 2 คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด ล่าสุด 0.25% น่าจะใกล้จบขาขึ้นแล้ว โดยจากนี้อาจจะขึ้นอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
เช่นเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และ Earning Yield Gap หรือส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงสูงอยู่ ทำให้เงินยังคงไหลเข้าอยู่ โดยเห็นนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาซื้อในรอบหลายเดือน
ส่วนความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ควรต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการคว่ำบาตรเรื่องการเงินและตลาดทุน ระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และหนี้สินครัวเรือนของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตา เพราะจะมีทั้งปัจจัยบวกและลบ
ขณะที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ มองว่า เศรษฐกิจถดถอยจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และจีนน่าจะกำลังฟื้นตัวดีขึ้น และเตรียมที่จะปรับประมาณการเติบโตใหม่
ดร.วิศิษฐ์ ประเมินว่า เป้าหมายของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ น่าจะมีดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,690 จุด ส่วนในกรณีพื้นฐานน่าจะอยู่ที่ระดับ 1,580 จุด โดยในการปรับพอร์ตลงทุนยังจำเป็นต้องมีหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอยู่ในพอร์ตต่อไป ขณะเดียวกันในช่วงของการเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้น แนะนำหุ้นในกลุ่มของธุรกิจสื่อ ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจการค้า และแบงก์ ซึ่งยังมีความแข็งแกร่งอยู่มาก