ในงานสัมมนา SET IN THE RABBIT HOLE หุ้นไทยปีกระต่าย 2023 จัดโดยฐานเศรษฐกิจ ช่วงสัมมนา “หุ้นเด่น หุ้นดัง : รับมือความผันผวนโลก”
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS (บาฟส์) กล่าวใจความสำคัญว่า ภาคการท่องเที่ยวเวลานี้เริ่มฟื้นกลับมาแล้ว หลังช่วง 3 ปีที่ผ่านมาประสบปัญหาจากวิกฤติโควิด ซึ่งถือเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (BAFS) มาร่วม 40 ปี ขณะนี้ถือเป็นช่วงขาขึ้น ปีนี้เป็น “ปีกระต่าย” BAFS จะเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรงแล้ว จากเริ่มเห็นอนาคตที่สดใสมากขึ้น
ทั้งนี้จากปี 2565 BAFS เติมน้ำมันอากาศยานไป 2,990 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8% ในปีนี้คาดการณ์เบื้องต้นที่ 4,200 ล้านลิตร โตจากปีที่แล้วประมาณ 40% ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่วัดจาก EBITDA margin วันนี้เริ่มเห็นแล้วว่าเริ่มกลับเข้ามาใกล้ระดับที่เคยทำได้ช่วงก่อนเกิดโควิด-19
อย่างไรก็ดีเวลานี้โลกเต็มไปด้วยความผันผวนและปัจจัยท้าทายมากมาย ซึ่ง 3 ปัจจัยที่กระทบทุกคนหรือทุกวงการคือ เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เรื่องของเทคโนโลยีดิสรัปชั่น เช่น AI เรื่องของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่วันนี้ไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว และเด็กเกิดใหม่น้อย จะทำอย่างไรในการทำธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติเหล่านี้และพลิกให้เป็นโอกาสได้
สำหรับ BAFS บริษัทบริการเชื้อเพลิงการบิน ก่อตั้งมาในปี 2526 สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยมติของคณะรัฐมนตรีสมัยนั้น ที่ต้องการให้มีบริษัทหนึ่งบริษัทขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประสานผลประโยชน์ระหว่างสายการบินกับกับบริษัทน้ำมัน โดยให้สายการบินมีสิทธิ์ที่จะเลือกซื้อน้ำมันจากบริษัทใดก็ได้ที่เสนอราคาดีที่สุด ในขณะที่บริษัทน้ำมันก็สามารถที่จะใช้คลังน้ำมันของ BAFS ในการเติมน้ำมันให้กับสายการบินได้
“ที่ผ่านมาหลายคนมักจะเข้าใจผิดว่า BAFS เป็นบริษัทที่ขายน้ำมันอากาศยาน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ แต่ BAFS เกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นคนประสานผลประโยชน์ ซึ่งหน้าที่ของเราคือไปเติมเต็มให้สังคมไทย บริษัทของคนไทย สายการบินของไทยบินไปแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างสมศักดิ์ศรี ผลประโยชน์ก็จะตกกับประชาชนที่เดินทางโดยเครื่องบินในราคาที่เข้าถึงได้”
เวลาผ่านไป 40 ปีวันนี้ BAFS เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีโครงสร้างการถือหุ้นที่เปลี่ยนไปจากในอดีต โดยมี ราชกรุ๊ป ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 16% กลุ่มที่ 2 โดยสองสายการบินของไทยถือ 12% AOT ถือ 5% นักลงทุนสถาบัน 4% และบริษัทน้ำมันจากค่ายจีน ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลางรวม 33% ส่วนนักลงทุนทั่วไปสัดส่วนรวมกัน 30%
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวอีกว่า BAFS วันนี้เป็นอีโคซิสเต็ม คือเป็นคนกลางประสานผลประโยชน์ มีซัพพลายเชนคือ จะรับน้ำมันจากลูกค้าคือบริษัทน้ำมันที่ซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นเพื่อขนส่งผ่านระบบที่มีความปลอดภัยสูงมาจัดเก็บที่ถังน้ำมันของบริษัท ซึ่งถังน้ำมันนี้เปรียบเสมือนโกดังเก็บสินค้า ในที่นี้คือน้ำมันอากาศยาน ที่สายการบินจะเลือกซื้อจากบริษัทน้ำมันใดก็ได้ตามความต้องการ
“เมื่อรับน้ำมันเข้ามาแล้วหน้าที่ของเราคือตรวจสอบคุณภาพน้ำมันให้อยู่ในสเปก จากน้ำมันอากาศยานจะมีอะไรเจือปนไม่ได้เลย แม้แต่น้ำหยดเดียวก็มีไม่ได้ เพราะเวลาเครื่องบิน ๆ ไปมันจะกลายเป็นน้ำแข็ง จะเกิดปัญหากับเครื่องยนต์ เมื่อตรวจสอบคุณภาพแล้วจึงเข้าสู่ระบบการเติมของเรา โดยจะมีรถเติมน้ำมันวิ่งตามสนามบินทั้งสุวรรณภูมิ และดอนเมือง”
BAFS ที่นำโดยท่านพลากร สุวรรณรัฐ(องคมนตรี)ประธานกรรมการบริษัท ได้วางกลยุทธ์ไว้ 3 เรื่องสำคัญคือ 1.กลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน คือการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจใหม่ ๆ 2.การปรับเปลี่ยนองค์กรโดยนำเอาเทคโนโลยี และดิจิทัลมาใช้มากขึ้น ลดขั้นตอนงานที่ซ้ำซ้อน และ 3.เรื่องคน ที่พัฒนาให้มีศักยภาพ
“วันนี้ BAFS GROUP มี 3 กลุ่ม คือ 1.Aviation Business 2.Utilities & Power Business (ขนส่งพลังงานทางท่อและพลังงานหมุนเวียน และ 3.Business Service โดยมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเอาท์ซอร์สพนักงาน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโซลูชั่นและนวัตกรรม ทั้งนี้ธุรกิจหลักของเรายังขยายตัวอยู่ แต่ก็จะลงทุนเพิ่มเติมที่สนามอู่ตะเภาผ่านทางบริษัทร่วมทุน มีการขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันในเฟส 2 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้ว รอว่า AOT จะเปิดให้บริการเมื่อไรเท่านั้น”
ขณะที่ในกลุ่ม Business Service ของ BAFS ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจคือโรงงานประกอบรถยนต์ บริษัทมีการต่อรถยนต์เติมน้ำมันอากาศยานเอง ซึ่ง BAFS เป็นที่แรกอาเซียนที่สามารถประกอบรถ EV ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยร่วมกับพันธมิตรจากสเปน ขณะที่ช่วงโควิด-19 ได้ไปลงทุนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันยังแสวงหาโอกาสทางการลงทุนเพิ่มเติม เช่น ในเนปาล อินเดีย มองโกเลีย
อนาคตเป้าหมายคือทำให้กลุ่มธุรกิจของ BAFS มีโครงสร้างรายได้ที่สมดุล มีภูมิคุ้มกันกับปัจจัยที่อาจจะเข้ามกระทบได้ในอนาคต โดยที่มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจหลัก 50% ธุรกิจ Utilities & Power 40% และ Business Serviceที่ 10%
“การเดินทางของเราในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอีกยาวไกล ผมไม่สามารถตอบสมาชิกในองค์กรได้เลยว่าจะจบเมื่อไร และตอบได้แค่ เราต้องเดินไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงองค์กรมันหยุดเปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งวันนี้เราให้ความสำคัญของ 3 เรื่อง เปลี่ยนวัฒนธรรม เปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงาน เวลานี้ออกจากโรคโควิดแล้ว พนักงานของบาฟส์ตอนนี้ Work from Anywhere มีความยืดหยุ่นออฟฟิศต้องเปลี่ยนหมด ทลายกำแพงทิ้ง กลายเป็นสปอร์ตเซ็นเตอร์ กลายเป็น wellness center และอื่น ๆ ให้พนักงานมาแฮงค์เอาท์พูดคุยกับเพื่อน ๆ”
อีกเรื่องที่เป็นความท้าทาย BAFS ตั้งเป้าเรียบร้อยแล้วปี 2050 หรือ พ.ศ.2593 จะเป็น NET ZERO (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์)ซึ่ง BAFS เป็นบริษัทที่ได้รับการรับรอง "Carbon neutrality" หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอนไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2563 โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ อบก. ทั้งนี้ BAFS จะยังคงยืนหยัดคู่กับสังคมไทย และคู่กับโลกเพื่อทำหน้าที่เติมเต็มโลก เติมเต็มสังคมให้ดีขึ้นต่อไป และส่งต่อโลกของเราให้กับลูกหลานในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวด้วยว่ ปณิธานขององค์กรที่ยึดมั่นมา 40 ปี คือ การเติมเต็มให้โลกเรามีเพดานบินที่สูงขึ้น ซึ่งเพดานบินก็คือความก้าวหน้าหรือความยั่งยืนที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้
"วันนี้ BAFS จะถามตัวเองเสมอว่า หากเราจะต้องขยายธุรกิจ หรือต้องไปลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ BAFS จะเข้าไปเติมเต็มเต็มอะไรได้บ้าง ไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของสังคม หรือชุมชนพื้นที่นั้นได้อย่างไรได้บ้าง"ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าว