ในส่วนของประชาชนเองนั้น ได้มีการจัดคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่กรุงมอสโควคือ “Moscow Music Peace Festival” หรือ “เทศกาลดนตรีเพื่อสันติภาพแห่งมอสโคว” ซึ่งในงานนั้นวงดนตรีของเยอรมันคือ The Scorpions ได้รับเชิญจาก"โกบาช้อบ" ให้มาร่วมแสดงด้วยและก็เป็นครั้งแรกที่วงดนตรีจากเยอรมันได้มาแสดงที่รัสเซียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เพลงที่แสดงในครั้งนั้นเพลงหนึ่งคือ “Wind of Change” ซึ่งพรรณนาถึงบรรยากาศของมอสโควที่กำลังอบอวนไปด้วยความฝันและเสรีภาพของคนรุ่นใหม่ที่จะได้อยู่ในโลกแห่งความรุ่งโรจน์ในอนาคตที่กำลังมาถึง มันเหมือนสายลมในค่ำคืนฤดูร้อนที่พัดโบกผ่านอดีตกาลสู่อนาคตที่แสนมหัศจรรย์ที่ซึ่งโลกจะมีสันติภาพและเสรีภาพและคนใกล้ชิดกันดุจพี่น้อง
และนี่ก็คือ “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่ได้ “พัดผ่านไปสู่เยอรมันตะวันออก” เป็นที่แรกเมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลายลงในอีก 3 เดือนต่อมา ไม่ต้องพูดถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในอีก 2 ปี พร้อม ๆ กับการล่มสลายของรัฐเผด็จการในยุโรปตะวันออกเกือบทั้งหมด และรวมไปถึงระบบ Apartheid ที่ให้อำนาจคนขาวเป็นใหญ่ในอาฟริกาใต้ที่ต้องล้มลงในปี 1994
เพลง Wind of Change กลายเป็น “เพลงชาติ” ของการสิ้นสุดของสงครามเย็นระหว่างโลกเสรีกับโลกสังคมนิยม บางคนโดยเฉพาะที่เป็นชาวเยอรมันบอกว่า Wind of Change เป็น “เพลงแห่งศตวรรษ” เพราะมันปลดปล่อยเยอรมันตะวันออกให้กลับมาอยู่กับตะวันตกในโลกเสรีโดยไม่ต้องมีสงคราม
ไม่ว่าจะเป็นอะไร คำว่า Wind of Change มีความหมายถึงกระแสของความคิดหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะทางการเมืองที่คนไม่คิดว่าจะเปลี่ยนได้ ใครจะไปคิดว่ากำแพงเบอร์ลินที่แข็งแกร่งและไม่มีใครสามารถจะหลุดรอดไปได้จะพังทลายในชั่วข้ามคืนโดยไม่ต้องใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มแม้แต่นัดเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะคนเยอรมันตะวันออกเปลี่ยนความคิดว่า กำแพงไม่ควรจะมีอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับระบบการปกครองที่ประชาชนไม่ต้องการแล้ว
เหตุการณ์และปรากฎการณ์ทางการเมืองในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทยนั้น ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องและ “รุนแรงมาก” ไม่ใช่เป็นความรุนแรงทางกายภาพประเภทเลือดตกยางออก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลง “ภายในจิตใจ” ที่ลึกซึ้งอานิสงค์จากการแพร่กระจายของข่าวสารข้อมูลที่มีไม่จำกัดและไม่มีใครสามารถขัดขวางหรือกีดกันได้อีกต่อไป เช่นเดียวกับการที่คนไม่เห็นหรือไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงวันที่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะถูกแสดงออกผ่านการกระทำบางอย่างรวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “การเลือกตั้ง” ที่อาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อไม่นานมานี้ เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าประชาชนกำลังเปลี่ยนไป โดยที่พวกเขาต้องการเลือกคนที่เป็นตัวแทนความคิดของตนเอง และไม่ได้เลือกคนที่จะมาเป็น “นาย” หรือคนที่จะมาช่วยเหลืออนุเคราะห์เวลาที่ตนเองมีปัญหา พูดง่าย ๆ เลือกคนที่จะเข้ามาบริหารประเทศที่มีความสามารถและอุดมการณ์ตรงกับตนเองซึ่งก็เป็นแนวทางที่มักจะเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น จากพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ “ขวาหรือซ้าย” เป็นแนวเผด็จการอำนาจนิยมหรือแนวเสรีนิยมประชาธิปไตย เป็นต้น แทนที่จะเลือกบุคคลที่ตนเองชื่นชอบหรือคนที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างในอดีต
การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นั้น สัญญาณทุกอย่างดูเหมือนจะคล้ายกับการเลือกตั้งผู้ว่ามากเพียงแต่ว่าเป็นระดับทั้งประเทศ ซึ่งก็อาจจะทำให้คนคิดว่าในต่างจังหวัดประชาชนอาจจะคิดไม่เหมือนกัน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่อาจจะยังเลือกตัวบุคคลประเภท “บ้านใหญ่” มากกว่าจะคิดถึงเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง ดังนั้น เรื่องของการชนะแบบ “แลนด์สไลด์” อย่างที่เลือกผู้ว่าคงไม่เกิดขึ้น
แต่นั่นอาจจะเป็นความคิดทางการเมือง “รุ่นเก่า” แม้ว่าจะเพิ่งผ่านมาไม่กี่ปี ขณะนี้เราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ “Wind of Change” ที่การเมืองไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนกำลังเลือกผู้แทนที่มีอุดมการณ์ที่ตนเองชอบหรือต้องการมากกว่าการเลือกคน “บ้านใหญ่” และผลโพลที่มีการสำรวจจนถึงประมาณ 1 เดือนก่อนเลือกตั้งบอกว่าคนไทยกำลังสนใจหรือเลือกพรรคที่มีอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยมากกว่าอนุรักษ์นิยมอย่างมาก และตัวเลขที่ผมเห็นนั้น จะทำให้จำนวน ส.ส. ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมากจนสามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างเด็ดขาด ลองมาวิเคราะห์ผลจากโพลดู
สมมุติว่าพรรคแรกได้คะแนนเสียงพรรคทั่วประเทศตามโพลคือได้ 45% พรรคอันดับสองของฝ่ายเสรีประชาธิปไตยได้ 25% ก็แสดงว่าฝ่าย “ซ้าย” จะมี ส.ส. บัญชีรายชื่อ 70 คน “ฝ่ายขวา” จะได้ส.ส. ไม่เกิน 30 คน ในขณะที่ ส.ส. เขต ตามโพลก็ออกมาแบบเดียวกันคือ 45% และ 25% ตามลำดับ ในขณะที่พรรคฝ่ายอนุรักษนิยมที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดจากโพลคือ 12% สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะแตกต่างกับปาร์ตี้ลิสต์ เพราะในการแข่งขันระดับเขตนั้น เฉพาะคนที่ได้คะแนนสูงสุดในเขตเท่านั้นที่จะได้เป็น ส.ส. คนที่ได้คะแนนอันดับสองจะไม่ได้อะไรเลย เป็นคะแนน “ตกน้ำ”
ดังนั้น ถ้าทุกเขตทั่วประเทศ 400 เขต ได้คะแนนในอัตราส่วนเท่ากันทั้งประเทศ พรรคฝ่ายซ้ายอันดับ 1 ที่มีคะแนน 45% ก็จะได้ ส.ส.ไปทั้งหมด 400 คน กลายเป็นแลนด์สไลด์ได้ ส.ส. 445 คน จาก 500 คน แต่ความเป็นจริงนั้น แต่ละเขตก็มีผู้สมัครที่เป็น “บ้านใหญ่” มีคะแนนนิยมส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับพรรค ทำให้เขตนั้นเขาอาจจะได้คะแนนสูงอาจจะเกิน 50% ของคะแนนทั้งหมดในเขตและเป็นผู้ชนะได้เป็น ส.ส. แม้ว่าคะแนนที่ได้จากชื่อพรรคจะมีน้อยกว่าหรือน้อยมากก็ได้
สมมุติว่าพรรคอันดับหนึ่งนั้น มีบางเขตที่คะแนนเสียงไม่ดีได้ไม่ถึงค่าเฉลี่ยที่ 45% อาจจะได้แค่ 30% ซึ่งอาจจะมาจากคะแนนพรรคเป็นหลักแต่คะแนนส่วนตัวแทบไม่มีเลย พรรคอันดับ 2 ได้คะแนน 35% โดยมาจากคะแนนพรรค 25% และคะแนนส่วนตัวอีก 10% ผลก็คือ เขตนี้พรรคอันดับ 2 ก็จะชนะพรรคอันดับ 1 ได้เป็น ส.ส.
เช่นเดียวกัน พรรคอันดับ 3 ถึงประมาณ 5 หรือต่ำกว่านั้นก็มีสิทธิที่จะได้ ส.ส. แม้ว่าคะแนนเสียงจากพรรคจะมีน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย อย่างไรก็ตาม พรรคอันดับ 3 นั้น โอกาสก็ยังมีอยู่บ้างเนื่องจากคนเชื่อว่าเป็นตัวแทนของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมที่คนรุ่นเก่าและคนในบางภาคเช่น ภาคใต้ จำนวนมากยังเชื่อมั่นและยอมรับอยู่
ลองมาสมมุติต่อว่า ตัวเลขที่พรรคอันดับ 1- 5 จะได้ ส.ส. เขต คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของส.ส.เขตทั้งหมดเท่าไร อิงจากโพลตัวเลขคะแนนรวมของทุกเขตหรือทั้งประเทศ โดยอัตราส่วนแบบ “กำปั้นทุบดิน” ของผมก็คือ อันดับ 1 จะได้ ส.ส. เขต 60% ของส.ส.เขตทั้งหมด 400 คน อันดับ 2 ได้ 15% อันดับ 3 ได้ 10% อันดับ 4 และ 5 ได้พรรคละ 5% ก็จะพบว่า พรรคอันดับ 1 จะได้ ส.ส.เขต 240 คน อันดับ 2 ได้ 60 คน อันดับ 3 ได้ 40 คน อันดับ 4 และ 5 ได้พรรคละ 20 คน
และเมื่อรวมกับส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดของแต่ละพรรคก็จะพบว่า พรรคอันดับ 1 น่าจะได้ส.ส.ทั้งหมด 285 คน เป็น “แลนด์สไลด์” อันดับ 2 ได้ประมาณ 85 คน อันดับ 3 ได้ 51 คน อันดับ 4 ได้ 25 คน อันดับ 5 ได้ 23 คน รวมแล้ว 469 คน ที่เหลืออีก 31 คนกระจายไปอยู่ในพรรคเล็กพรรคน้อยที่น่าจะมีส.ส. พรรคละไม่เกิน 5 คน
ประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นรัฐบาล “ฝ่ายซ้าย” อ่อน ๆ และสภาจะประกอบไปด้วยพรรคใหญ่ไม่เกิน 3 พรรคที่มี ส.ส. เกิน 50 คน และทั้งหมดนี้ก็เป็นการประเมินตัวเลข ส.ส. จากโพลที่ “ยังไม่นิ่ง” แต่ภาพใหญ่ก็คงจะไม่เปลี่ยน ผมไม่รับประกันความถูกต้อง และไม่ซีเรียส เรียกว่าเป็นการ “เล่นสนุก” เหมือนการทายผลผู้แพ้-ชนะในมหกรรมฟุตบอลโลกมากกว่า