หุ้นเด่นวันนี้ 3 โบรก สแกน 6 หุ้นเด่นกำไรโตแกร่ง

02 พ.ค. 2566 | 02:29 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ค. 2566 | 02:38 น.

3 โบรก มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (2 พ.ค.66 ) คาดดัชนี SET แกว่ง 1520 - 1540 จุด จับตาผลประชุมเฟด 2-3 พ.ค.ส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย คัด 6 หุ้น Top pick BDMS, OR, AMATA, SCGP, SCB และ BGRIM

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ( 2 พ.ค.66 ) คาดดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1520-1540 จุด ไปจนถึงปรับตัวลงได้ต่อ โดยเฉพาะหากต่ำกว่าจุดต่ำเดิมบริเวณ 1520 จุด จะเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1509 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ หลังมองตลาดยังรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศในเดือน พ.ค.นี้ อีกทั้งมองนักลงทุนอยู่ระหว่างรอดูการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยหลังจากการประชุมนโยบายการเงินของ FED (2-3 พ.ค.), ECB (4 พ.ค.) และ BoE (11 พ.ค.)

โดยหาก FED มีการส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ มองตลาดจะ Risk off จากกังวลเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงมากขึ้น กลยุทธ์แนะนำให้ถือเงินสดมากขึ้น ขณะที่หาก FED มีการส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ย มองตลาดรับรู้เศรษฐกิจถดถอย แต่ไม่รุนแรงเกินที่คาดไว้ กลยุทธ์แนะนำให้ “Selective Buy

หุ้นแนะนำวันนี้

BDMS  : 1Q66 คาดกำไรปกติ 3.4 พันล้านบาท ลดลง 1%YoY แต่เพิ่มขึ้น 9% QoQ จากรายได้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่พัฒนาการในตลาดต่างประเทศใหม่ๆ คาดจะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2566 คาดกำไรเติบโต 12%YoY สู่ 1.4 หมื่นล้านบาท

OR : 1Q66 คาดผลการดำเนินงานจะพลิกกลับมามีกำไรและฟื้นตัวแรง QoQ โดยมีแรงหนุนจากค่าการตลาดฟื้นตัว กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเดินทางกลับมาดีขึ้น รวมทั้งยังจะรับรู้ผลขาดทุนสต็อกที่ลดลงจาก 4Q65
 

บล.กสิกรไทย  ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ คาดดัชนี SET แกว่งในกรอบ 1520-1555 จุด ภาพรวมยังน่าจะเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ส่วนปัจจัยภายในประเทศเองเป็น sentiment ลบจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นที่ก่อนหน้านี้ที่มีการเก็งกำไรจนเกินพื้นฐานไปมาก

ขณะที่ความไม่แน่นอนในผลการเลือกตั้งของไทยและวันหยุดยาวช่วยปลายสัปดาห์ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลือกตัดสินใจชะลอตัวการลงทุนออกไปก่อน ซึ่งจะเป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยง มากกว่าการซื้อเพื่อเก็งกำไร ทั้งนี้ให้ติดตาม Nida poll จะมีการประกาศ ในวันที่ 3 พ.ค. ด้วย


หุ้นTop pick วันนี้

AMATA : ( ราคาพื้นฐาน 28.50 บาท) เราคาดว่ากำไร 1Q23 จะเติบโต 26% YOY และเป็นไตรมาส 1 ที่ดีสุดเท่าที่เคยมีมาของ AMATA ขณะยอดขายที่ดินใน 1Q23 ทำได้ 310 ไร่ ก็ถือว่าโดดเด่น โดยประเมินทั้งปี 2566 จะทำได้ 1,500 ไร่และต่อเนื่องที่ระดับดังกล่าวไปถึงปี 2568 จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนบนความเสี่ยง Geopolitical risk คาดกำไรปี 2567 จะทำสถิติสูงสุดใหม่

SCGP : (ราคาพื้นฐาน 30.30 บาท) คาดกำไร 1Q23 ที่ 165 ลบ. เติบโต 45% YOY หนุนจากยอดขายที่โตดี และการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายบริหารได้ดี ขณะที่การเร่งตัวของนักท่องเที่ยวจีนใน 2023 เป็นต้นไป ผนวกกับกำลังการผลิตใหม่ๆจะหนุนกำไรเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี

ด้านบล.กรุงศรี ประเมินดัชนี SET แกว่งตัว 1,520 - 1,540 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่โดยคาดว่าภาวะตลาดจะเป็นลักษณะ Selective buy หุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัว แต่จะมีความผันผวนสูงจากแรงขายลดความเสี่ยงเพื่อรอผลการประชุม FED ที่คาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25% อีกทั้งตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนเม.ย.ของจีนที่ชะลอตัวลงสู่ 49.2 จะกดดันทิศทางการลงทุนช่วงนี้

หุ้นแนะนำวันนี้

SCB  :  (ปิด 103.5 ซื้อ/เป้า 160 บาท) กำไรสุทธิ 1Q23 โตแกร่ง แนวโน้ม 2Q23 ยังโตต่อเนื่องจาก NIM ที่เพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ คาดว่าจะปรับลงสู่ระดับปกติที่ระดับ 7-8 พันล้านบาทจาก 9,900 ใน 1Q23

BGRIM :  (ปิด 38.75 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 47.5 บาท) ได้ Sentiment บวกจากราคาพลังงานลดลง ด้านผลประกอบการคาดงบ 1Q23 พลิกมีกำไรจากที่ขาดทุนสุทธิใน 4Q22 หนุนจากค่า Ft เพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง 

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) แนวโน้ม ศก. ไทยเดือน เม.ย. โรงแรม ค้าปลีกดีต่อ ส่วนอสังหาฯ มีสัญญาณบวก: ธปท. รายงานภาวะ ศก. เดือน มี.ค. โดยรวมชะลอตัวตามภาคการค้า แต่ผลสำรวจเดือน เม.ย. มีสัญญาณดีขึ้น โดยภาคท่องเที่ยว และบริการยังดีต่อเนื่อง ภาคอสังหาฯ มีสัญญาณฟื้นตัว แต่ภาคการค้าและการผลิตยังชะลอตัว
  •   (+) เจพีมอร์แกนซื้อกิจการ เฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ คลายกังวลวิกฤติธนาคารในสหรัฐ: วานนี้ เจพีมอร์แกน ตกลงเข้าซื้อกิจการของธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) เป็นที่เรียบร้อย ปัจจัยนี้ช่วยคลายกังวลให้กับตลาด เนื่องจากก่อนหน้านักลงทุนกังวลว่า FRB อาจจะต้องถูกสั่งปิดคล้าย SVB หลังจากลูกค้าแห่ถอนเงินเป็นจำนวนมากขณะที่ราคาหุ้นร่วงลงราว 90% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 
  •   (+/-) สัปดาห์นี้จับตาม FED Meeting คาดขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย: เราคงมุมมองเดิมคาด FED meeting 2-3 พ.ค. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 5-5.25% แต่คาดเป็นการปรับขึ้นครั้งสุดท้ายจากนั้นจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเพื่อประเมินผลกระทบจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากนั้นจึงจะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้