บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2566 ในเรื่องการถูกเรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างของหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A
โดยรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการถูกเรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างของหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ได้ดำเนินการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อพิจารณาเหตุผิดนัดจากการนำส่งแบบ 56-1 ล่าช้า และการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ตามข้อกำหนดสิทธิ และผู้ถือหุ้นกู้ของหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A ได้มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดและใช้สิทธิเรียกให้นี้เงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้หุ้นกู้ทั้งหมดถึงกำหนดชำระโดยพลัน
อ่านเพิ่ม : ผู้ถือหุ้นกู้ STARK อีก 3 ชุด มูลหนี้กว่า 6.9 พันล้าน นัดประชุม 23 มิ.ย.นี้
โดยบริษัทได้รับหนังสือเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดตามหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A (หนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน") จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 6 มิถุนายน 2566 โดยผู้แทนผู้ถือหุ้นใช้สิทธิตามข้อ 11.3 ของข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ ("ข้อกำหนดสิทธิ" ) เรียกให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมดจำนวน 2,241 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมดซึ่งคำนวณจนถึงวันที่บริษัทชำระหนี้ตามหุ้นกู้ครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 2 กรกฎาคม 2566
หากบริษัทไม่ชำระหนี้ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายเรียกร้องให้บริษัทชำระหนี้คงค้างทั้งหมดภายใต้หุ้นกู้ และเรียกร้องค่าเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิดังกล่าว
เผยแนวทางการดำเนินการ
เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A จะส่งผลให้หุ้นกู้อีก 3 ชุด ได้แก่หุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A ซึ่งมีเงินต้นค้างชำระรวมจำนวน 6,957,400 000 บาท เกิดการผิดนัดไปด้วย และเจ้าหนี้ทางการเงินอื่น ๆ ก็อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดในลักษณะเดียวกัน
อย่างไรก็ดี บริษัทมิได้นิ่งนอนใจ และกำลังพิจารณาทำการสื่อสารเจรจาหาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ดังกล่าวอยู่เพื่อให้เจ้าหนี้ระงับซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถสรุปยอดหนี้ที่อาจมีการใช้สิทธิในแบบเดียวกันได้ เนื่องจากเหตุแห่งการเรียกชำระหนี้โดยพลันของหุ้นกู้เพิ่งจะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ทางการเงิน และเจ้าหนี้ต่างๆของบริษัท บริษัทกำลังขอเจรจากับเจ้าหนี้ทางการเงินที่สำคัญทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัท เพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่นๆ ใช้สิทธิแบบเดียวกัน ขณะเดียวกันบริษัทก็พิจารณาถึงความเสี่ยงอันเกิดจากการกระทำใดๆ ที่อาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติและให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใดๆ เหนือเจ้าหนี้รายอื่น บริษัทจึงเห็นว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มใดๆ เป็นการเฉพาะ เพราะอาจถูกเจ้าหนี้กลุ่มอื่นเพิกถอนหรือส่งผลกระทบในทางลบต่อการเจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ดังนี้จึงควรรอให้ผลของการเจรจาสิ้นสุดลงว่าจะบริหารการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้และกลุ่มอื่นๆ อย่างไรโดยเท่าเทียมกัน ก่อนดำเนินการชำระหนี้ใดๆ