JMT จ่อขายหุ้นกู้ 2 ชุด 14-16 พ.ย.นี้ ดอกเบี้ยสูงสุด 4.9%

29 ก.ย. 2566 | 10:51 น.
อัพเดตล่าสุด :29 ก.ย. 2566 | 10:51 น.

JMT เตรียมขายหุ้นกู้ 2 ชุด 2 และ 3 ปี ดอกเบี้ยสูงสุด 4.90% ต่อปี เสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (PO) ช่วง 14 - 16 พ.ย.นี้ ระดมเงินซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ ชำระคืนหุ้นกู้หรือเงินกู้ยืมสถาบันการเงินภายในปี 2567

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันและมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (PO) 2 ชุด ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ คาดว่าจะเสนอขายช่วงวันที่ 14 - 16 พฤศจิกายน 2566 

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)

สำหรับหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดประกอบด้วย 

  • หุ้นกู้ชุดที่ 1 มีอายุ 1 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.10-4.25% ต่อปี
  • หุ้นกู้ชุดที่ 2 มีอายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.75-4.90% ต่อปี 

 

ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้เป็นเงินลงทุนในการเข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารและ/หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกลุ่มกิจการ และ/หรือ เพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้หรือเงินกู้ยืมสถาบันการเงินภายในปี 2567 ซึ่งบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม Stable โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 สะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน)

นอกจากนั้น ทางทริส เรทติ้งยังคาดว่า แนวโน้มอุปทานสินเชื่อด้อยคุณภาพด้านเครดิตจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือที่ผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์จนกระทั่งถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มีแนวโน้มที่จะเร่งนำสินเชื่อด้อยคุณภาพออกมาจำหน่ายมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ไปจนถึงปี 2567 ซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการซื้อหนี้ของบริษัท

 

ขณะที่การบริหารการจัดเก็บพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพนั้น ในครึ่งปีแรก JMT ซื้อหนี้ก้อนใหญ่เข้ามาบริหารมูลค่าราว 60,000 ล้านบาท ซึ่งหนี้ดังกล่าวจะเป็นฐานในการสร้างรายได้ในครึ่งปีหลังและในอนาคต ขณะที่ประเมินสภาพตลาดหนี้ที่ JMT ซื้อเข้ามาโดยปกติประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี แต่ปีนี้มองว่า จะเยอะกว่าปกติ และนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทร่วมทุน JK AMC ทำให้พอร์ตเรามีขนาดไซส์ใหญ่ขึ้น เสมือนเราได้ Backlog ตุนล่วงหน้ามา 3 - 5 ปี เพิ่มความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานในอนาคต 

“ครึ่งปีแรกเรามีกระแสเงินสดเข้ามาแล้ว 4,243 ล้านบาท ดังนั้นสิ้นปีนี้ที่วางไว้ว่าจะมีกระแสเงินสดขึ้นไปแตะที่ระดับ 9,000 ล้านบาท จากทั้งปี 2565 อยู่ที่ 6,345 ล้านบาท มองว่า จะสามารถทำได้ตามนั้น เป็นอีกปัจจัยสะท้อนภาพรวมธุรกิจของ JMT มีเสถียรภาพ และมั่นใจครึ่งปีหลังผลงานยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีโอกาสในการลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารต่อเนื่อง ย้ำเป้ากำไรสุทธิเติบโต 30% จากปีก่อนตามที่วางไว้”นายสุทธิรักษ์กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิ 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 433.3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกำไรสุทธิรายไตรมาสที่สูงสุด คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 44.1% ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,249.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 14.8% จากการเดินหน้าขยายพอร์ตบริหารหนี้ โดยรายได้ที่ทำสัญญากับลูกค้ารายได้ดอกเบี้ยและกำไรจากเงินให้สินเชื่อการซื้อลูกหนี้ และรายได้รายรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับการบริหารการจัดเก็บพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพที่ดีเยี่ยม

ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 1,004.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.4% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 41.8% โดยมียอดจัดเก็บกระแสเงินสดอยู่ที่ 2,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า JK AMC ที่เติบโตสูงขึ้น โดยครึ่งปีแรก 2566 ที่ผ่านมาบริษัทมีการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพรวม 4,126 ล้านบาท สนับสนุนให้ JMT มีพอร์ตบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรวมอยู่ที่ 468,536 ล้านบาท (รวม JK AMC) เพิ่มขึ้นกว่า 1 แสนล้านบาท หรือกว่า 30% จากพอร์ตบริหารหนี้สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 331,410 ล้านบาท