NAM เคาะราคา IPO ที่ 7.70 บาท เปิดจอง 19-24 ต.ค. คาดเทรด SET ปลายเดือนนี้

18 ต.ค. 2566 | 07:49 น.
อัพเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2566 | 08:44 น.

บมจ.นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น (NAM ) ชูกลยุทธ์สร้างการเติบโตผ่าน 5 แนวทาง รุกต่อยอดสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต เคาะราคา IPO ที่หุ้นละ 7.70 บาท P/E 24.81 เท่า เปิดจอง 19-24 ต.ค. 66 เทรด SET ปลายเดือนนี้

บริษัทนำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) หรือ NAM ผู้ผลิต นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์กลุ่มงานปราศจากเชื้อในประเทศไทย ประกาศราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 7.70 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 19-20, 24 ต.ค.66 คาดนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปลายเดือนต.ค.นี้

โดยมีบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันซ่า จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ NAM ประกอบด้วย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ,บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ,บล.ลิเบอเรเตอร์ และ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)

NAM เคาะราคา IPO ที่ 7.70 บาท เปิดจอง 19-24 ต.ค. คาดเทรด SET ปลายเดือนนี้

นางวีณา เลิศนิมิตร Executive Chairwoman บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 7.70 บาทต่อหุ้น หุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 24.81 เท่า หากพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ถือเป็นราคาที่เหมาะสมที่สะท้อนพื้นฐานและศักยภาพการเติบโต โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 19-20 และ 24 ตุลาคม 2566 กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 หุ้น ทวีคูณ 100 หุ้น และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนตุลาคมนี้ 

 

นายวิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ NAM เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์กลุ่มงานปราศจากเชื้อในประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์” ที่พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตระดับโลก เพื่อส่งเสริมหน่วยงานทางการแพทย์แบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการเข้าระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ 

บริษัทฯ มีกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโต ผ่าน 5 แนวทาง ได้แก่

(1.) รักษาการเติบโตของกลุ่มสินค้าและบริการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของฐานลูกค้าเดิมที่เคยซื้อสินค้าหรือใช้บริการอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลภาครัฐ รวมถึงเพิ่มลูกค้าในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน คลินิก หรือหน่วยงานองค์กรทางสาธารณสุขอื่นๆ ที่ยังมีสัดส่วนการซื้อสินค้าหรือใช้บริการในปริมาณน้อย

(2.) เพิ่มสัดส่วนการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการแพทย์อื่นๆ เน้นการวิจัยพัฒนาและผลิตได้เองในขอบเขตความสามารถของโรงงานในปัจจุบันและที่จะขยายเพิ่มในอนาคต เพื่อเพิ่มความหลากหลายของประเภทสินค้าและลดต้นทุนจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ

(3.) ขยายการส่งออกสินค้าและบริการไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในต่างประเทศ โดยจัดเตรียมโครงสร้างองค์กรเพื่อมอบหมายและดูแลการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศขึ้นโดยเฉพาะ

(4.) มุ่งเน้นการเติบโตในกลุ่มธุรกิจที่นอกเหนือจากหน่วยงานหรือองค์กรทางสาธารณสุข โดยเล็งเห็นว่ากลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้สินค้าเพื่อทำให้ปราศจากเชื้อในการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกัน และ

(5.) ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจ มุ่งเน้นการขยายศักยภาพด้านการผลิตสินค้าทางการแพทย์ที่ทันสมัยและครอบคลุมทุกความต้องการทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ NAM ก้าวขึ้นเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์กลุ่มงานปราศจากเชื้อระดับแนวหน้าของไทย และต่อยอดสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

NAM เคาะราคา IPO ที่ 7.70 บาท เปิดจอง 19-24 ต.ค. คาดเทรด SET ปลายเดือนนี้

ปัจจุบัน NAM มีผลิตภัณฑ์และบริการแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

1.) กลุ่มผลิตและจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ (SM) 2.) กลุ่มผลิตและจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (CS) และ 3.) กลุ่มงานให้บริการ (SV) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้วิจัย ผลิตและจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ที่ทำให้ปราศจากเชื้อ สำหรับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ คิดค้นและพัฒนาจนมีสิทธิบัตร (Patent) เป็นของตนเอง และยังขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมกลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ในประเทศ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิต เพื่อให้ได้คุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ มาตรฐาน ASME, ISO 13485, ISO9001, ISO14001, PED และ CE Mark เป็นต้น และยังได้รับตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark ประทับบนฉลากสินค้าอีกด้วย

ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ซึ่งมีสิทธิบัตรในผลิตภัณฑ์เป็นของตนเอง และการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ภายใต้มาตรฐานสากล ทำให้กลุ่มลูกค้ามีความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับทางการแพทย์ ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีฐานลูกค้าที่สำคัญเป็นโรงพยาบาลและหน่วยงานองค์กรทางด้านสาธารณสุขกว่า 1,200 แห่ง และสามารถขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย จีน มาเลเซีย เวียดนาม เมียนมาร์ และสปป.ลาว เป็นต้น 

นายสุขุม โพธิสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน NAM กล่าวว่า บริษัทฯ ถือว่าเป็นผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์กลุ่มงานปราศจากเชื้อที่อยู่ในระดับชั้นนำของประเทศ เมื่อพิจารณาจากการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนกวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ภายในองค์กร โดยนำข้อมูลพื้นฐานความต้องการของลูกค้ามาปรับใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการมากที่สุด เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าขององค์กร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แบบครบวงจรในอนาคต

สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงิน จำนวน 781.70 ล้านบาท จะนำไปให้

  • 1. ลงทุนโครงการขยายโรงงานแห่งใหม่ จำนวน 350 ล้านบาท
  • 2. โครงการลงทุนพัฒนาศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องมือทางการแพทย์ จำนวน 30 ล้านบาท
  • 3. โครงการลงทุนหรือร่วมลงทุนในบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจเครื่องมือแพทย์ หรือมีนวัตกรรมที่ส่งเสริมการประกอบธุรกิจของบริษัท จำนวน 40 ล้านบาท และ
  • 4. เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ จำนวน 361.70 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 594.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.55 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 509.98 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 92.06 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 82.31 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.81 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 15.45 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งกลุ่มธุรกิจการขายสินค้าและกลุ่มธุรกิจการให้บริการ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องมือแพทย์มีการเติบโตทั้งด้านรายได้และอัตรากำไร เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและควบคุมการเบิกใช้วัตถุดิบตามแผนการผลิตอย่างเหมาะสม