TRUE ร่วงกว่า 10% หลังอนุญาโตฯชี้ขาดให้จ่าย 7 พันล้านพร้อมเบี้ยปรับให้ NT

31 ต.ค. 2566 | 03:36 น.
อัพเดตล่าสุด :31 ต.ค. 2566 | 03:45 น.

"TRUE" ร่วงกว่า 10% หลังอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ TRUE ต้องจ่าย 7 พันล้าน พร้อมเบี้ยปรับให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT

สืบเนื่องจากคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดให้บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น  หรือ TRUE  ชำระผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มจากรายได้ค่า IC (ส่วนต่างของผลประโยชน์ตอบแทนการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม หรือ Net IC) พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับ เป็นจำนวนเงิน 7,066.96 ล้านบาท และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินจำนวน 4,136.87 ล้านบาท (Net IC ไม่รวมเบี้ยปรับและภาษีมูลค่าเพิ่ม) นับถัดจากวันยื่นคำเสนอข้อพิพาท (22 ต.ค. 62) จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่  บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) (เดิมบมจ. กสท โทรคมนาคม)

ส่งผลให้ ราคาหุ้น TRUE ปรับตัวลง 10.69% หรือ ลดลง 0.70 บาท มาที่ 5.85 บาท มูลค่าซื้อขาย 144.91 ล้านบาท จากราคาเปิด 6 บาท ราคาสูงสุด 6 บาท ราคาต่ำสุด 5.75 บาท

  ขณะเดียวกันยังมีประเด็นศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้รับคำฟ้องคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีมติการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ตามที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอุทธรณ์ เพราะเห็นว่าการฟ้องคดีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะบริการโทรคมนาคมป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการลงทุนในการประกอบกิจการต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก และกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม มีผลทำให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบในวงกว้าง จึงถือได้ว่าการฟ้องคดีนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์อันเกิดแก่การจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง

บล.กรุงศรี พัฒนสินมองราคาหุ้น TRUE ยังถูกกดันในระยะสั้น ซึ่งเป็นปัจจัยลบเชิงจิตวิทยาต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะผลชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการต้องจ่ายเงิน 7.1 พันล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย ให้กับ NT ซึ่งเป็นปัจจยกดดันต่อราคาหุ้นค่อนข้างมาก แต่ในส่วนของประเด็นของศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นรับคำร้องการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC นั้นยังคงต้องรอการเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการศาลในขั้นอุทธรณ์และต่อไปศาลปกครองสูงสุดต่อไป ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปีถึงได้ข้อยุติ.