ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า กลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ทาง FETCO จะเข้าพบกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยประเด็นที่จะหารือในเบื้องต้นก็คือ 1. เรื่องผลักดันการจัดตั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Funds ) 2.ต่ออายุ "กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) " ที่จะหมดอายุลงในปี 2567 ( ปัจจุบันรัฐให้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่าน SSF ได้ตั้งแต่ปี 2563 – 2567 เท่านั้น ) โดยจะหารือเรื่องการต่ออายุ พร้อมปรับเงื่อนไขให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิลดระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนให้สั้นลง ( จากปัจจุบันที่ระบุ ต้องถือหน่วยลงทุนครบ 10 ปีแบบวันชนวัน แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่อง )
"ต้องยอมรับว่า การลงทุนในกองทุนรวม SSF ที่ผ่านมาไม่ได้รับความนิยม เหมือนกรณีกองทุนรวม LTF ที่ปิดไปแล้ว จากเงื่อนไข LTF ที่กำหนดเวลาถือครอง 5 ปี ปฏิทินในช่วงแรก แม้ว่าภายหลังจะขยายเป็น 7 ปีปฏิทินก็ตาม ดังนั้นการต่ออายุกองทุนรวม SSF เราจึงอยากนำเงื่อนไขในส่วนนี้ของ LTF มาปรับใช้กับกองทุน SSF เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจลงทุนง่ายขึ้น "
ขณะเดียวกัน จะขอให้ภาครัฐสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนใหม่ๆที่จะเป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ อาทิ กองทุนหุ้นยั่งยืน (Sustainability Fund) กองทุนที่เน้นหุ้น ESG ที่สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก ทำอย่างไรให้ตลาดทุนเข้ามามีส่วนช่วยสร้างประโยชน์ทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การลงทุนจะไม่ใช่เพียงลงทุนหุ้นอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงหุ้นกู้ "Sustainability Bond" หรือการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน โดยจะเปิดโอกาสให้เด็กลงทุนได้ หรือลงทุนเพื่อการศึกษา รวมถึงผู้สูงวัย ทั้งนี้จะขอให้ภาครัฐให้สิทธิพิเศษจูงใจผู้ลงทุน อาทิการนำเงินลงทุนมาขอลดหย่อนภาษี เป็นต้น
นอกจากนี้จะนำปัญหาความเสียหายในตลาดหุ้น จากกรณีที่เกิดขึ้นกับ หุ้นบมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) และ หุ้นบมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) ไปหารือกับนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย เพื่อวางแนวทางขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
"จากสถานการณ์ปัจจัยที่ถาโถมเข้าตลาดหุ้น จนทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนหลุด 1,400 จุด เมื่อช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีต่ำสุดในรอบ 3 ปี ปรับตัวลงแรงกว่าตลาดหุ้นที่อื่น ส่วนหนึ่งเพราะตลาดหุ้นไทยขาด"กองทุนระยะยาว Long-Term Equity Funds " จึงเป็นจังหวะที่ควรผลักดันให้เกิดกองทุนประเภทนี้ขึ้น