PR9 ส่งซิก Q4/66 โตเด่นรับไฮซีชั่น เร่งรีโนเวท OPD รับดีมานด์

10 พ.ย. 2566 | 06:09 น.
อัปเดตล่าสุด :10 พ.ย. 2566 | 06:09 น.

PR9 ส่งซิกไตรมาส 4/66 โตเด่น รับช่วงไฮซีชั่น เร่งรีโนเวท OPD อาคาร A ชั้น 2 รองรับดีมานด์ ดีเดย์เปิดกลางเดือนนี้ มั่นใจเคสเปลี่ยนไตปี 66 ทำนิวไฮ พร้อมเจาะคนไข้ CLMV-อาหรับ ดันธุรกิจโตแกร่ง

นายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ผู้ดำเนินธุรกิจสถานพยาบาลเอกชนประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานโค้งสุดท้ายของปีงวดไตรมาส 4/2566 เติบโตโดดเด่น รับช่วงไฮซีชั่นของธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งเห็นสัญญาณการเข้าใช้บริการรักษาจากผู้ป่วยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยล่าสุดบริษัทได้เตรียมความพร้อมรองรับผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงกลุ่มต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย (Expat) ด้วยการเร่งรีโนเวท OPD บริเวณชั้น 2 อาคาร A เพื่อขยายศักยภาพ (Capacity) ในการรับรองผู้ป่วยนอก คาดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ 
 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังเดินหน้าปรับกลยุทธ์ขยายฐานตลาดต่างประเทศ เจาะตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะประเทศอาหรับที่มีกำลังจ่ายสูง รวมถึงเน้นกลุ่มประเทศ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาและเวียดนาม ที่เริ่มกลับมาใช้บริการด้านสุขภาพในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ด้วยการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการหาคนไข้ต่างชาติโดยเฉพาะ สำหรับประสานงานและติดต่อเอเจนท์ต่างชาติ รวมทั้งบริษัทยังได้เตรียมเปิดแผนก International Center บริเวณอาคาร A ชั้น 1 อย่างเป็นทางการภายในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 เบื้องต้นมั่นใจผลักดันสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติขยับขึ้นเป็น 15% ของรายได้รวม ภายในสิ้นปีนี้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 

“โรงพยาบาลยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์เพื่อเติบโตเป็นบริษัทที่ยั่งยืนในอนาคต ด้วยการยกระดับมาตรฐาน เพิ่มความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคยากซับซ้อน ผ่านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญและเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงได้ทำการศึกษาพัฒนาศูนย์แพทย์เฉพาะทางอื่นๆเพิ่มเติม เช่น ศูนย์โรคมะเร็ง เพื่อต่อยอดความเป็นเลิศทางการแพทย์ โดยในปีนี้ เรามองเห็นการเติบโตของผู้ป่วยที่ใช้บริการสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไตเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ และมีโอกาสได้เห็นจำนวนเคสเปลี่ยนไตทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ ” นพ.เสถียร กล่าว
 

นายแพทย์เสถียร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลงานงวดไตรมาส 3/2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,078.2 ล้านบาท เติบโต 0.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,074.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 140.1 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท โดยรายได้จากคนไข้กลุ่ม Non-Covid ในไตรมาส 3/2566 เติบโต 9.0% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) และกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) ที่เพิ่มขึ้น มีอัตราเข้าใช้บริการของผู้ป่วยที่รักษาโรคเฉพาะทาง และโรคที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น อาทิ โรคหูคอจมูก, การผ่าตัดเลสิก, การผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและข้อ รวมถึงจำนวนเคสเปลี่ยนไตที่เติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการตรวจสุขภาพ ทั้งกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย, ผู้ป่วยต่างชาติ และกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ล่าสุด บริษัทได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ในระดับ “AAA” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมีคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนผ่านเกณฑ์ในแต่ละมิติ ได้แก่ การดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล, ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการบริหารจัดการธุรกิจสถานพยาบาลให้ดำเนินอย่างมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า, คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขัน ช่วยสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ เพื่อเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งในระยะยาว