ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เช้าวานนี้ (15 พ.ย.66 ) บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN แจ้ง ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าบริษัทได้รับหนังสือแจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และกรรมการชุดย่อยของบริษัทจากกรรมการรวม 5 ท่าน พร้อมระบุเหตุผลการลาออกว่า เนื่องจากติดปัญหาด้านสุขภาพ ภารกิจส่วนตัว และเนื่องจากทิศทางและกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและความไม่แน่นอนของการทำธุรกิจในอนาคตของบริษัท
แต่ในช่วงดึกวันเดียวกัน ( เวลา 22.30 น.) ปรากฏว่า JKN ได้แจ้งแก้ไขข้อมูลเหตุการณ์ลาออกของกรรมการ 2 ท่าน ได้แก่
ทั้งนี้มีรายงานว่าทั้ง 2 กรรมการ เป็นกรรมการบริษัท JKN ในสัดส่วนของเจ้าหนี้หุ้นกู้แปลงสภาพที่มาจาก “มอร์แกน สแตนลีย์” ต้องจับตาว่า 2 กรรมการที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้าประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งเป็นวันที่มีมติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง" จะส่งผลให้การประชุมบอร์ดวันดังกล่าวมีปัญหาทางกฎหมาย? และส่งผลต่อการขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ต้องสะดุดจากการที่เจ้าหนี้คัดค้าน เพราะเหตุดังกล่าวด้วยหรือไม่
ตัวแทนผู้ซื้อหุ้นกู้ ร้อง ก.ล.ต. ตรวจสอบ JKN เชิงลึก
ก่อนหน้านี้ตัวแทนผู้เสียหายจากการซื้อหุ้นกู้ JKN ได้ร้องเรียนต่อ รศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 4 เรื่อง คือ
โดยมีประเด็นที่น่าสงสัยและต้องมีการตรวจสอบเชิงลึกในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1.การลงทุนโดยเฉพาะการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากต่างประเทศ และธุรกิจประกวดนางงามในต่างประเทศ ทำให้จำเป็นต้องจ่ายต้นทุนค่าลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมีการแจ้งสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนสูงถึง 7,728.85 ล้านบาท มูลค่าลูกหนี้การค้าสูงถึง 2,307.01 ล้านบาท ณ สิ้น มิ.ย. 2566 ทำให้เป็นที่สงสัยว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนที่มีอยู่จริงหรือไม่ ราคาซื้อขายต่าง ๆ เป็นราคายุติธรรมหรือไม่ และมีการได้รับเงินทอนจากการซื้อขายหรือไม่ ซึ่งทางบริษัทเองมิได้มีการสำรองเงินเพื่อชำระหนี้กับเจ้าหนี้จนเป็นเหตุให้ขาดสภาพคล่องในการชำระหนี้
2.การร่วมมือกับบริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย จำกัด นั้น ไม่มีการชี้แจงว่าเงินลงทุนจำนวนนี้อยู่ที่ไหน เหตุใดบริษัทจึงไม่นำมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้
3.หลังจากที่มีเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท แต่การดำรงชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่ทาง นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ (CEO) ที่นำเสนอต่อสื่อต่าง ๆ กับพบว่ามีทรัพย์สินส่วนตัวมากมาย ใช้ชีวิตหรูหรา ซึ่งทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นการโอนทรัพย์สินของบริษัทไปเป็นส่วนตัวและเครือญาติ หรือไม่
ทั้งนี้ ด้วยเหตุข้างต้น ทางผู้ถือหุ้นกู้จึงขอให้ก.ล.ต.ดำเนินการดังต่อไปนี้ 4 ข้อ ได้แก่
1.ตรวจสอบข้อมูลงบการเงินและเส้นทางการเงินของบริษัท รวมทั้งกรรมการผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นกรณีพิเศษ (Special audit) เนื่องจากพบว่าสถานะทางการเงินของบริษัทมิได้อยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว ขณะที่บริษัทยังมีสินทรัพย์และลูกหนี้ค้างจ่ายจำนวนมาก รวมทั้งมีการขยายธุรกิจการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อมิให้เกิดกรณีอาศัยประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมายซ้ำ ใคร่ขอความอนุเคราะห์ให้ก.ล.ต.พิจารณาการทำ Special audit (ทำการตรวจสอบพิเศษ) เป็นข้อบังคับของบริษัทจดทะเบียนในหลักทรัพย์ที่ต้องยื่นต่อก.ล.ต.ก่อนเข้าสู่กระบวนฟื้นฟู หรือล้มละลายทางธุรกิจต่อไป
2.ขอให้พิจารณามีการอายัดทรัพย์สินของบริษัทและกรรมการที่เกี่ยวข้อง และห้ามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเดินทางออกราชอาณาจักรจนกว่าจะพิจารณาคดีแล้วเสร็จ เนื่องจากพบว่ามีการโยกย้ายนำเงินจำนวนมากไปลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ทำให้ยากต่อการติดตามข้อมูลทางการเงิน
3.ขอให้ทางก.ล.ต.แจ้งผู้แทนหุ้นกู้ดำเนินการยื่นคัดค้านแผนฟี้นฟูกิจการโดยเร่งด่วน มิให้เกิดเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ชอบธรรม และทำลายความเชื่อมั่นในการลงทุนอย่างร้ายแรง การยื่นแผนฟื้นฟูของบริษัทเป็นการกระทำที่มิชอบ เนื่องจากมิได้แสดงความจำนงค์กับตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ ผู้ถือหุ้นกู้ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทราบถึงแนวทางการปฏิบัตินี้ แต่เป็นการแสดงความจงใจที่จะอาศัยช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้เกิดภาวะ automatic stay หรือเกิดภาวะการพักชำระหนี้อัตโนมัติ
4.ขอให้ก.ล.ต.เร่งให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้มีการเรียกชำระหนี้หุ้นกู้ทั้งหมดโดยพลันภายใน 30 วัน เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวทำให้เกิด Default Payment หุ้นกู้ทุกรุ่นของบริษัท JKN จากการเข้าสู่ขบวนการฟื้นฟูของบริษัท JKN เกิดขึ้นโดยมิชอบ และไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย