จากที่วานนี้ (27 พ.ย.66 ) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ในวันนี้ 28 พ.ย. 66 จะมีการพิจารณาเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนและประชาชน ผ่านโครงการ E-REFUND ที่จะเปิดให้ผู้เสียภาษีสามารถซื้อสินค้าได้ภายในมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท และนำไปยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้ในต้นปี 2568 โดยเบื้องต้นไทม์ไลน์ที่รัฐบาลวางไว้ของช่วงเวลาการใช้จ่าย คือ ต้นปี 2567
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส หรือ ASPS ระบุว่า นโยบายดังกล่าวอาจเป็นคลื่นลูกใหม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปี 2567 ให้โตมากกว่าค่าเฉลี่ย CONCENSUS ที่ทำช่วง 3.2-3.5% ขณะที่เม็ดเงินดำเนินโครงการนี้ คาดว่าจะทำให้ทางกรมสรรพากรสูญเสียรายได้ราว 1-2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ประสิทธิภาพของโครงการ E-REFUND คาดว่าจะช่วยเกิดวงเงินเดินสะพัดในระบบเศรษฐกิจราว 1-2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP น่าจะอยู่ที่ราว 0.54% - 1.09% ซึ่งมีแนวโน้มสูงกว่าช่วง 2 ปี ผ่านมา เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกินอื่นๆ ร่วมด้วย
ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า กลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชน์หากนโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง คือ
ด้านนักวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินว่าจะมีกำลังซื้อสุทธิ 1.88 แสนล้านบาท เพิ่มเข้ามาในระบบเศรษฐกิจจากนโยบายต่าง ๆ ที่ภาครัฐมีแผนจะออกมาดำเนินการ (ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ,เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และ E-REFUND ) ซึ่งจะมาช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากการจับจ่ายที่ลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะลดลง
คาดแคมเปญ E-REFUND จะทำให้มียอดใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มเข้ามาในระบบ 1 แสนล้านบาท อิงจากสมมติฐานว่า 50% ของผู้เสียภาษีทั้งหมดเข้าร่วมเเคมเปญนี้ และทุกคนใช้ซื้อสินค้าจนเต็มเพดานที่ 50,000 บาท
ทั้งนี้ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม Commerce ที่ Neutral โดยยังคงคำแนะนำและราคาเป้าหมายของหุ้นทุกตัว ได้แก่ GLOBAL แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 17.20 บาท , CPALL แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 66 บาท ,CPAXT แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 30 บาท , HMPRO แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 13 บาท , และ DOHOME แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท