จากการนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เคาะรายละเอียดเงินดิจิทัล "Digital Wallet" และออกโครงการ e-Refund โดยมีเงื่อนไขดังนี้
Digital Wallet : ชาวไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาท/เดือน หรือ เงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท กลุ่มเป้าหมายประมาณ 50 ล้านคน โดยให้สิทธิ์ใช้ในระยะ 6 เดือน ครอบคลุมการใช้จ่ายในระดับอำเภอตามบัตรประชาชน ระยะเวลาโครงการเริ่มเริ่ม 1 พฤษภาคม 2567 - 31 ตุลาคม 2567 โดยแหล่งที่มาเงินทุน คือ จำนวน 5.0 แสนล้านบาท การออก พ.ร.บ. วงเงินกู้เงิน 5.0 แสนล้านบาท และต้องผ่านกระบวนการสภา ขณะที่จะจัดสรรงบประมาณมาคืนเงินกู้ตลอด 4 ปี
ส่วนเงื่อนไv e-refund ครอบคลุมผู้ที่ไม่ได้เข้าโครงการ Digital Wallet รัฐบาลประเมินกลุ่มเป้าหมายราว 4 ล้านคน สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ในวงเงิน 50,000 บาท ตั้งแต่ ม.ค. 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้เม็ดเงินโครงการรวมทั้งสิ้น 6 แสนล้านบาท โดย 5 แสนล้านบาท มาจากโครงการ Digital Wallet และ 1 แสนล้านบาท รัฐจะนำเงินไปใส่ในกองทุนเสริมสร้างการแข่งขันใน 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S Curve) รวมถึงคาดหวังวงเงินจาก e-Refund ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1-2 แสนล้านบาท คาดเม็ดเงินรวมจะกระตุ้นเศรษฐกิจที่สูงกว่าคาดสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจไทยให้โต 5%
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส เผยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายเงินดิจทัล / e- refund ได้แก่
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ความชัดเจนจากนโยบาย "Digital Wallet" มองว่ามีโอกาสสร้างความเชื่อมั่นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ผสานจำกัดกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค จะช่วยเม็ดเงินสร้างประสิทธิภาพได้ไม่ต่างจากแผนเดิม
สรุป : กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์นโยบาย Digital Wallet ชัดเจนและการเร่งกระตุ้นบริโถครัฐบาล E-Refund ได้แก่ CPAXT, DOHOME, GLOBAL, CRC, COM7, MTC ,กลุ่มดิจิทัล BBIK, BE8 และ ADVANC