นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้หารือร่วมกับ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในประเด็นต่างๆ รวมถึงทำความเข้าใจร่วมกันในสิ่งที่ ก.ล.ต. กำลังดำเนินการอยู่
โดยหนึ่งในนั้นคือการเกี่ยวกับธุรกรรมการขายชอร์ต (Short Selling) ,โปรแกรมเทรดดิ้ง เป็นต้น ซึ่งฝ่ายโบรกเกอร์มีข้อเสนอหลากหลายแนวทาง แต่สำนักงาน ก.ล.ต. ยังไม่ได้มีการกำหนดหรือปรับเกณฑ์อะไรเพิ่มเติมในที่ประชุมดังกล่าว
“ก่อนหน้านี้มีการแถลงข่าว หรือการสอบถามเข้ามารายวัน ซึ่งในแต่ละวัน ไม่ได้มีอัพเดตอะไรมากกว่านี้ เพราะเนื่องด้วยระบบตรวจสอบในปัจจุบันเป็นไปตามมาตรฐานสากล ทางเราก็ตรวจสอบอยู่ตลอด”
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. , ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และฝ่ายโบรกเกอร์ (ASCO) มีความเห็นตรงกันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิด จึงจะมีการนำแนวปฏิบัติป้องกันการขายชอร์ตให้สมาชิกได้ใช้ ซึ่งปัจจุบัน ASCO ได้ส่งมาที่ สำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้ข้อสังเกตุ ก่อนที่จะนำมาประกาศบังคับใช้ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้เชื่อว่าจะมีการหารือร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายต่ออีก 1-2 ครั้ง จากนั้นจะออกเป็นแนวปฏิบัติประกาศให้รับทราบโดยทั่วกัน ทุกฝ่ายมีกำลังเร่งมือเพื่อให้ทันภายในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าที่สุดคือช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2567
“เมื่อแนวปฏิบัติออกมาแล้ว ผู้ปฏิบัติทำเหมือนกัน มีมาตรฐานเทียบเคียงระดับสากล ผลของการกระทำก็น่าจะออกมาดี ซึ่ง ก.ล.ต. มีความเชือมั่นในสิ่งที่กำลังจะทำ ต้องเห็นผลที่ดี เป็นหนึ่งในจิกซอว์ที่เป็นมาตรการสำคัญ”
สำหรับกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวของดูแลเกี่ยวกับธุรกรรมการขายชอร์ต (Short Selling) นั้น เป็นไปตามบทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. เข้าใจดี และได้เข้าไปรายงานความคืบหน้าให้กับที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแล้ว รวมถึงได้แจ้งแผนการดำเนินงานในอนาคตถึงการออกแนวปฏิบัติดังกล่าวด้วย
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เรื่องการชอร์ตอยากให้ ก.ล.ต. ออกกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนที่สุด ถ้าไม่มีก็คือไม่มี ใครที่หลีกเลี่ยงและยังกระทำอยู่ ต้องมีบทลงโทษรุนแรง จะได้ไม่ส่งผลต่อความเชื่อมันของนักลงทุน ยืนยันไม่ควรคำนึงถึงประโยชน์ระยะสั้น ไม่เช่นนั้นถูกตั้งคำถามว่าจะมีเกิดขึ้นอีกหรือไม่? แล้วจะส่งผลต่อระยะยาว ตลาดทุนก็จะเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร