นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวปาฐกาพิเศษ 'อนาคตตลาดทุนไทยกับการเคลื่อนย้ายทุนในกระแสการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก' ภายในงานสัมมนาวิชาการ SEC Capital Market Symposium 2023 จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
โดยระบุว่า โลกกำลังเข้าสู่โค้งสำคัญ ซึ่งมีความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่
ทั้งนี้ ตลาดทุนไทยต้องการมาตรการจากหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเข้าให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น มาตรการจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือการออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จากกระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ก.ล.ต.
“วิกฤตต่าง ๆ ก็สำคัญ แต่ท่ามกลางวิกฤติและความท้าทาย เราสามารถมองเห็นโอกาสได้หรือไม่ ซึ่งทั้ง 4 เทรนด์ความท้าทาย ก็ยังมีโอกาส เพราะเราก็ยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้เยอะมาก ๆ ในกลุ่มเหล่านี้”
สำหรับประเด็นสำคัญในการทำให้ตลาดทุนไทยรอดช่วงโค้งสำคัญและสร้างอนาคต มองว่ามีทั้งหมด 4 เรื่อง ไดแก่
สำหรับหุ้นไทยปัจจุบันยังอัพไซด์พอสมควร และน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว แต่สิ่งที่น่ากังวลและจะเป็นแรงกดดันสำคัญระยะสั้นไปจนถึงกลางปีหน้า ได้แก่
ใน 3 เรื่องข้างต้น มองว่าการเคลื่อนย้ายของเงินทุนโลกกำลังสร้างปัญหาพอสมควร ตั้งแต่ต้นปีมานี้มีเงินทุนต่างชาติไหลออกจากไทยแล้วราว 2 แสนล้านบาทไปยังตลาดทุนสหรัฐฯ โดยเฉพาะตราสารหนี้ และในปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ดูดเงินกลับไปแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท หากรวมกับที่ผ่านมาอีก 7 แสนล้านบาท โดยรวม เฟดดูดเงินทุนไหลกลับไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท
“ช่วงโควิด เฟดอัดฉีดสภาพคล่อง 5 ล้านล้านบาท และยังมีทีท่าจะดุงสภาพคล่องออกไปอีกต่อเนื่องในปีหน้า รวมถึงน่าจะยังมีการออกบอนด์ของสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก”
ส่วนเรื่องของโอกาสของตลาดทุนไทย ด้วยความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ประแต่ละประเทศ ก็อาจจะทำให้ตลาดเอเชียและอาเซียนกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น เทคโนโลยี , Green Energy , ChatGPT , OpenAi , Robotic หรือ เมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมอนาคตที่จะมาแรงในช่วง 10 ปีนี้
ขณะเดียวกันตลาดทุนในไทย น่าจะไทยมีเสน่ห์น้อยลง ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง เพราะส่วนใหญ่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น รถยนต์ , อาหาร , ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ , โรงเหล็ก , น้ำมัน และ ปิโตรเคมี ซึ่งไม่ใช่หุ้นแห่งอนาคตอีกต่อไป
“30 ปีที่แล้ว ตลาดทุนไทยเหมือนสาวเซ็กซี่อายุ 18 ปี แต่พอเวลาผ่านไป นักลงทุนกลับไม่มีรู้จะซื้ออะไรที่นี่แล้ว เพราะส่วนมาเป็นหุ้นประเภทเดิม ๆ เทียบกับหุ้นใน S&P 500 มี New Sector เกิดใหม่มหาศาลในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี”
อย่างไรก็ตาม แนะนำว่า ถ้าไทยเราไม่สามารถดำเนินการริเริ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้เอง ก็ควรเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาทำ โดยใช้โอกาสความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ ดึงยูนิคอร์นจากต่างประเทศที่ป่าที่กำลังไฟไหม้ มาอาศัยในป่าหิมพานที่อุดมสมบูรณ์ในประเทศไทยแทน
ทั้งนี้ หากจะเปลี่ยนองค์ประกอบของตลาดทุนไทยให้ได้ ต้องแก้ปัญหาด้านกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งการตรวจคนเข้าเมือง , ระยะเวลาในการพำนัก ไปจนถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ กับชาวต่างชาติ เพื่อจูงใจให้บุคลากรคุณภาพเดินทางเข้าไทยมากขึ้น
“ถ้าเราไม่เปลี่ยน ตลาดทุนไทยก็จะค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ในขณะที่นักลงทุนก็มีทางเลือกมากขึ้นในตลาดทั่วโลก ดังนั้นเงินทุนไหลออกจากไทยเรื่อย ๆ แน่นอน และนี่คือโจทย์สำคัญว่า เราจะเข้าโค้งยังไงให้รอด และมุ่งหน้าสู่ภูเขาลูกใหม่ที่กำลังเติบโต”