ดาวโจนส์ปิดบวก 173.01 จุด ขานรับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ

12 ธ.ค. 2566 | 23:47 น.
อัพเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2566 | 23:59 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (12 ธ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,577.94 จุด เพิ่มขึ้น 173.01 จุด หรือ +0.48%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,643.70 จุด เพิ่มขึ้น 21.26 จุด หรือ +0.46% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,533.40 จุด เพิ่มขึ้น 100.91 จุด หรือ +0.70%

ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2565 ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2565 และดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. 2565

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.1% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 3.2% ในเดือนต.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไม่เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. หรือปรับตัวขึ้น 0.0%

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 4.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.0% ในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ (13 ธ.ค.) ตามเวลาสหรัฐ รวมทั้งจับตาการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (dot plot) และถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2567

 

ทั้งนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลข CPI นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมครั้งนี้ แต่ข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนได้ลดน้ำหนักในการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. 2567 และเพิ่มน้ำหนักให้กับการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค. 2567

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 และพุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหนักที่สุด หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงเกือบ 4%

หุ้นออราเคิล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 12.44% หลังจาบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด เนื่องจากรายได้ของธุรกิจคลาวด์ชะลอตัวลง

นอกเหนือจากการประชุมเฟดแล้ว นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย โดยในวันนี้สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. ส่วนในวันพฤหัสบดีจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. และในวันศุกร์จะเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. รวมทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากเอสแอนด์พี โกลบอล

ราคาน้ำมัน WTI ร่วง 2.71 ดอลลาร์ ปิดหลุด 70 ดอลลาร์

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือนในวันอังคาร (12 ธ.ค.) โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด และอุปสงค์น้ำมันที่ชะลอตัวลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 2.71 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 68.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. 2566 สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 2.79 ดอลลาร์ หรือ 3.7% ปิดที่ 73.24 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. 2566