ความกังวลกรณีบริษัท Cambridge Properties Holding Limited เจ้าของห้างสรรพสินค้า Selfridges ขอการสนับสนุนทางการเงินกับกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งเป็นบริษัทแม่ หลังจาก Signa Prime Selection AG หุ้นส่วนอีกรายยื่นล้มละลายไปเมื่อ 28 ธ.ค. 2566 กดดันทำให้ราคาหุ้นของทั้ง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN และ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ปรับตัวลดลง
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN และ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ของวันนี้ (4 ม.ค.67) มองว่าเป็นผลมาจากแรงขายจากความกังวลใจต่อประเด็นที่ทาง Signa พันธมิตรจากกรุงเวียนนาของออสเตรียที่ได้มีการร่วมลงทุนใน ห้างสรรพสินค้า Selfridges ในประเทศอังกฤษ กับทางเซ็นทรัลกรุ๊ป (Central Group) ได้ประสบปัญหาทางการเงินและยื่นล้มละลายช่วงปลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่าในปัจจุบันทางเครือเซ็นทรัลจะยังไม่มีการออกมาให้คำอธิบาย หรือหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว แต่ทางฝ่ายก็มองว่าสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในเบื้องต้นคือ CPN ต้องหาพันธมิตรใหม่เข้ามาช่วย หากว่าหาพันธมิตรใหม่ไม่ได้ก็อาจจะต้องใช้แผนการช่วยเหลือกันภายในกรุ๊ป
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดไม่ว่าอย่างไรทาง CPN ก็ยังคงต้องรับบท "เดอะแบก" และมองว่าการกู้สถานการณ์ในครั้งนี้อาจต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ บอร์ดของทาง CRC ได้เคยมีการปฎิเสธในการเข้าลงทุนไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมดใน Selfridges Group ไปแล้ว
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเด็นกลุ่มเซ็นทรัล (ผู้ถือหุ้นใหญ่ CRC) มีข่าวอาจต้องจัดหาเงินเพิ่มเพื่อเข้าลงทุนในห้าง selfridges แทนพันธมิตร (signa) ที่กำลังประสบปัญหาการเงิน ฝ่ายวิจัยคาดจะมีผลกระทบจำกัดเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ทาง CRC เคยปฏิเสธลงทุนในกิจการดังกล่าวมาแล้วตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 กับเชื่อว่าความเสี่ยงการถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นมีน้อย เพราะราคา CRC ยังต่ำกว่า IPO ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงมองช่วงหุ้นอ่อนตัวเป็นจังหวะที่ดีในการสะสมหุ้นรอบใหม่
สำหรับทิศทางยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ช่วงไตรมาส 4/66 ที่ยังไม่ฟื้น โดยติดลบเล็กน้อย -2% (จากไตรมาส 3/66 หดตัว) กดดันจากธุรกิจในเวียดนามฟื้นช้า (-15%) และธุรกิจในไทย (-1%) ถูกกดดันจากฐานสูงปีก่อน, บางส่วนรอใช้มาตรการ e-receipt ตอนต้นปี ดังนั้น คาดกำไรปกติในไตรมาส 4/66 จะปรับลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ไม่เหนือความคาดหมายมากนัก โดยคาดยังคงฟื้นตัวเด่น จากไตรมาสก่อน ตาม seasonal และอานิสงส์ค่าไฟต่อหน่วยลง ก่อนที่ไตรมาส 1/67 จะกลับมาโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน อีกครั้งจากการเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่จะได้อานิสงส์สูงจาก มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ