หลัง Nvidia (อินวิเดีย) บริษัทผู้ผลิตการ์ดจอ หรือชิป GPU ยักษ์ใหญ่ที่ก่อตั้งโดยนาย Jensen Huang รายงานถึงรายรับในไตรมาส 4/2566 ว่าเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าจากปีก่อนหน้า และมีกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่าตัว ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของ Wall Street อันแสดงให้เห็นว่า Nvidia สามารถเอาชนะความคาดหวังและจุดประกายการขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI ให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยสามารถเพิ่มมูลค่าตลาดหุ้นไปได้สูงถึง 277 พันล้านดอลลาร์ (22 ก.พ.2567) ภายในวันเดียว ถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายวันที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Wall Street
หุ้นเทคโนโลยีของ Nvidia พุ่งสูงขึ้น ขานรับความต้องการชิปประมวลผล AI
หุ้นของบริษัท Nvidia พุ่งขึ้น 16.4% และปิดที่ 785.38 ดอลลาร์ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเป็น 1.96 ล้านล้านดอลลาร์ และจากการรายงานประจำไตรมาสช่วงเดือนมกราคม แสดงให้เห็นว่าความต้องการชิปเฉพาะทางที่ใช้ในการประมวลผล AI ยังคงแซงหน้าความคาดหวังที่สูงของนักวิเคราะห์ไปแล้ว
โดยผลลัพธ์ของบริษัท Santa Clara ในแคลิฟอร์เนียก็ได้เติมเชื้อเพลิงใหม่ให้กับหุ้นเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับ AI ทั่วโลก ซึ่งกำลังขับเคลื่อน S&P 500 (Standard and Poor's 500 Index) ของสหรัฐฯ STOXX 600 ของยุโรป และหุ้น Nikkei ของญี่ปุ่น เพื่อคอยบันทึกจุดสูงสุด ทั้งนี้ เหล่านักเทรดเดอร์ได้มีการแลกเปลี่ยนหุ้นของ Nvidia มูลค่า 65 พันล้านดอลลาร์ไปในวันพฤหัสบดี (22 ก.พ.2567) ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 5 ของการซื้อขายหุ้น S&P 500 ทั้งหมด
ขณะนี้ หุ้นของ Nvidia เพิ่มขึ้น 58% (ปี 2567) คิดเป็นมากกว่า 1 ใน 4 ของการเพิ่มขึ้นของ S&P 500 เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำให้แนวโน้มของ Nvidia มีความสำคัญที่ไม่เพียงแต่สำหรับผู้ถือหุ้นโดยตรงเท่านั้น แต่ยังสำหรับเจ้าของกองทุนดัชนีที่ถือกันอย่างแพร่หลายในบัญชีออมทรัพย์เพื่อการเกษียณอายุอีกด้วย
Nvidia สร้างสถิติใหม่ แซงหน้ายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Magnificent Seven)
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นในหนึ่งวันของ Nvidia ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Wall Street เอาชนะ Meta Platforms ที่ทำกำไรได้ 196 พันล้านดอลลาร์ไปอย่างง่ายดาย หลังจากที่บริษัทแม่ของ Facebook ประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งแรกและประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา
รวมถึงทำให้ Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แซงหน้ายักษ์ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลด้านเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อเรียก “Magnificent Seven” อย่าง Amazon และ Alphabet (Google) หลังจากร่วมแข่งขันกันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทางด้าน Microsoft และ Apple มีมูลค่า 3.06 ล้านล้านดอลลาร์ และ 2.85 ล้านล้านดอลลาร์ ตามลำดับ นับเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุด 2 แห่งของ Wall Street อีกทั้งยังบดบังมูลค่าทั้งหมดของ Coca-Cola มูลค่า 265 พันล้านดอลลาร์
คาด Nvidia จะมีรายรับสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่นักวิเคราะห์และนักลงทุนยังกังวล
ความต้องการชิปของ Nvidia ที่เพิ่มสูงขึ้น เกิดจากบริษัทต่างๆ เร่งอัพเกรดข้อเสนอ AI ช่วยให้บริษัทใน Silicon Valley ภูมิภาคนอร์เทิร์นแคลิฟอร์เนีย คาดการณ์ว่ารายรับในไตรมาสปัจจุบันจะเติบโตถึง 233% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นที่ 208%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนกังวลว่าการจำกัดการขายชิปของสหรัฐฯ ไปยังจีนอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้ เนื่องจากยอดขายในประเทศจีนคิดเป็นประมาณ 9% ของยอดขายในไตรมาสที่ 4 ของ Nvidia ซึ่งลดลงจาก 22% ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั่งนี้ จากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประมาณการทางการเงินของนักวิเคราะห์ ได้มีการประเมินมูลค่ากำไรล่วงหน้าของ Nvidia ว่าจะมีแนวโน้มลดลง รวมถึงทางด้านนักลงทุนจำนวนมากก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับมูลค่าการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Nvidia อยู่เช่นเดียวกัน
ขอบคุณที่มา : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters)