นายวิรัช มรกตกาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เปิดเผยภายหลังการเข้ารับตำแหน่งแทนนายชูเกียรติ รุจนพรพจี ว่าแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20% หรือแตะที่ระดับ 12,000 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ทำได้ 9,629.82 ล้านบาท
โดยแรงขับเคลื่อนธุรกิจหลักๆ ในปีนี้ มาจากกลุ่มธุรกิจ SBNEXT และ SABUY SPEED ซึ่งจากการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ผู้ก่อตั้ง SABUY ทำให้บริษัทมีการให้บริการที่มีความหลากหลาย สามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง
ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรใหม่ ให้มีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น ทำให้มองว่าในปี 2567 นี้ ผลการดำเนินงานจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาของการกลับมามีกำไรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2/2567 นี้ และมีการเพิ่มขึ้นของกำไรอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป จากปี 2566 ที่บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ราว 190 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนกลุ่มธุรกิจ SBNEXT บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท จากปี 2566 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,609.6 ล้านบาท จุดเด่นคือ มีทีมขายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามบ้านได้ มีแผนจะขยายช็อปผ่อนสบายในช่วงครึ่งแรกปีนี้ให้เพิ่มเป็น 10 สาขา จากสิ้นปีก่อนที่มีแล้ว 6 สาขา รวมถึงมีแผนขยายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีความหลากหลาย ทั้งแบรนด์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด และให้ความสำคัญในการบริหาารจัดการพอร์ตผ่อนสบายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ด้านธุรกิจ SABUY SPEED บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,123.8 ล้านบาท ในปี 2567 นี้ บริษัทยังคงเดินหน้าในการเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้บริการให้กว้างมากและลึกขึ้น จากปัจจุบันที่มีช็อปแล้วกว่า 22,000 แห่งทั่วประเทศ หรือทุกอำเภอ รวมถึงเพิ่มการให้บริการอื่นๆ มากขึ้น นอกเหนือจากส่วนเสริมอย่างอีคอมเมิร์ซ ที่มีของดีๆ ช่วยขายได้ มี SABUY Counter มี แบงกิ้งทรานเซ็กชั่น และการรับชำระเงิน
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Food Court CRM และ POS นั้น ปัจจุบันบริษัทให้ความสนใจเข้าไปทำระบบชำระเงินในส่วนศูนย์อาหารภายในโรงงานขนาดใหญ่ หรือที่มีพนักงานมากกว่า 500 คน ที่ผ่านมาได้มีเข้าไปให้บริการแล้ว 3-4 โรงงาน โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 300 โรงงาน โดยจะมุ่งเน้นในภาคตะวันออกที่มีนิคมอุตสาหกรรมและมีโรงงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มฐานลูกค้าเดิมที่มีการใช้บริการด้านพิมพ์บัตร (บัตรพนักงาน) อยู่แล้ว เป็นการเข้าไปต่อยอดธุรกิจที่มีในมือเพิ่มเติม
ส่วนการลงทุนใหม่ๆ ในปี 2567 นั้น อาจต้องชะลอตัวไปก่อน เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดระเบียบธุรกิจที่มีในมือให้สามารถสร้างผลผลิตในระดับที่ดีและมีการเติบโตอย่างมีศักยภาพได้ ส่วนในปี 2568 บริษัทอาจมีแผนกลับมามีการลงทุนอีกครั้ง ตามเป้าหมายการขยายตลาดในระดับภูมิภาค ปัจจุบันบริษัทให้ความสนใจและอยู่ระหว่างการศึกษาทั้งในประเทศเมียนมา และสปป.ลาว แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้เห็นความชัดเจนเมื่อไหร่ และจะเข้าไปทำในส่วนไหน เพราะแต่ละประเทศมีความต้องการแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน