ทริสฯ หั่นเรทติ้ง "ECF" เหตุงบอ่อนแอ จับตาหุ้นกู้ครบกำหนด 609 ล้าน

09 เม.ย. 2567 | 06:25 น.

ทริสฯ ลดอันดับเครดิตองค์กร “อีสต์โคสท์ เฟอร์นิเทค” หรือ ECF เป็น “B+” จาก “BB-” พร้อมประกาศเครดิตพินิจ “Negative” เหตุงบอ่อนแอ เงินทุนจากการดำเนินงานปี 66 ติดลบอยู่ที่ 142 ล้านบาท ภาระหนี้สูง จับตาประชุม 30 เม.ย.นี้ เคาะเลื่อนจ่ายหุ้นกู้ 609.5 ล้านบาท สำเร็จหรือไม่

จากการที่ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ชุด ECF245A และ ชุด ECF246A ในวันที่ 30 เมษายน 2567 เพื่อขอเลื่อนชำระหุ้นกู้ มูลหนี้รวม 609.50 ล้านบาท ออกไป 1 ปี พร้อมชำระหนี้เป็นรายงวด ๆ 5% แลกกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้อีก 0.25% ต่อปี 

 

    
 

ล่าสุดวันนี้ 9 เมษายน 2567ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรของ ECF เป็นระดับ “B+” จาก “BB-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ให้กับอันดับเครดิตด้วย การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปี 2566 ความไม่แน่นอนของแผนการฟื้นฟูความสามารถในการทำกำไรของบริษัท รวมถึงสัดส่วนภาระหนี้สินทางการเงินที่ยังสูงอย่างต่อเนื่องและสภาพคล่องที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ทริสเรทติ้ง ระบุ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการรีไฟแนนซ์ของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนของบริษัท โดยบริษัทมีหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 609.5 ล้านบาท โดยชุดหนึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนพฤษภาคม และอีกชุดหนึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมิถุนายน 2567 นี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงสภาวะตลาดตราสารหนี้และมูลค่าการชำระคืนที่ค่อนข้างมาก ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทน่าจะเผชิญกับความท้าทายในการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่เพียงพอต่อการชำระคืนหุ้นกู้ที่กำลังจะหมดอายุทั้งหมด บริษัทได้พยายามมองหาช่องทางในการระดมทุนต่าง ๆ หลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม แหล่งเงินทุนเหล่านั้นยังคงไม่มีความไม่แน่นอน บริษัทอยู่ในขั้นตอนการเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 30 เมษายน 2567 เพื่อขอขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นหุ้นกู้ดังกล่าว

 

ส่องงบการเงิน ECF ล่าสุด

กระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงเหลือ 42 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตซึ่งอยู่ที่ปีละ 200 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานติดลบอยู่ที่ 142 ล้านบาทในปี 2566 การลดลงของอัตรากำไรส่วนใหญ่มาจากผลกระทบในการผลิตบางส่วนหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566

นอกจากนี้ อัตรากำไรยังได้รับผลกระทบจากรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหลายรายการรวมมูลค่า 64 ล้านบาท อาทิเช่น การปรับราคาทุนของสินค้าคงเหลือ และการตั้งค่าเผื่อที่มากขึ้นในการบันทึกมูลค่าของสินค้าที่เคลื่อนไหวช้าหรือเสื่อมสภาพ

อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้ง มองว่าการดำเนินงานของบริษัทน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการจัดตารางการทำงานของพนักงานเพื่อลดค่าล่วงเวลา นอกจากนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่เสียหายและการปรับปรุงต้นทุนการผลิตจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูความสามารถในการทำกำไร ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่เข้ามาทดแทนซึ่งคาดว่าการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2567 อย่างไรก็ตาม การสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่นั้นยังขึ้นอยู่กับการได้รับเงินกู้จากธนาคารด้วย

ทริสเรทติ้ง จะทบทวนแนวโน้มเครดิตพินิจของบริษัทอีกครั้ง เมื่อได้ข้อสรุปจากการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ หรือบริษัทมีแผนในการหาแหล่งเงินทุนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในการชำระหุ้นกู้ที่กล่าวถึงในข้างต้น ในกรณีที่บริษัทไม่ได้รับข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นกู้ที่ในการขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นออกไป และไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ได้ ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทลงอีก

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทยังคงสูงเกินกว่า 8 เท่าโดยไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัว

ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้จนทำให้บริษัทสามารถลดลูกหนี้การค้าและลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญและสามารถปรับปรุงสถานะทางการเงินให้ดีขึ้นจนส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงจนต่ำกว่าระดับ 8 เท่าได้