จากการที่ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ชุด ECF245A และ ชุด ECF246A ในวันที่ 30 เมษายน 2567 เพื่อขอเลื่อนชำระหุ้นกู้ มูลหนี้รวม 609.50 ล้านบาท ออกไป 1 ปี พร้อมชำระหนี้เป็นรายงวด ๆ 5% แลกกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้อีก 0.25% ต่อปี
ล่าสุดวันนี้ 9 เมษายน 2567ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรของ ECF เป็นระดับ “B+” จาก “BB-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ให้กับอันดับเครดิตด้วย การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปี 2566 ความไม่แน่นอนของแผนการฟื้นฟูความสามารถในการทำกำไรของบริษัท รวมถึงสัดส่วนภาระหนี้สินทางการเงินที่ยังสูงอย่างต่อเนื่องและสภาพคล่องที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ทริสเรทติ้ง ระบุ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการรีไฟแนนซ์ของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนของบริษัท โดยบริษัทมีหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 609.5 ล้านบาท โดยชุดหนึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนพฤษภาคม และอีกชุดหนึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมิถุนายน 2567 นี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงสภาวะตลาดตราสารหนี้และมูลค่าการชำระคืนที่ค่อนข้างมาก ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทน่าจะเผชิญกับความท้าทายในการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่เพียงพอต่อการชำระคืนหุ้นกู้ที่กำลังจะหมดอายุทั้งหมด บริษัทได้พยายามมองหาช่องทางในการระดมทุนต่าง ๆ หลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม แหล่งเงินทุนเหล่านั้นยังคงไม่มีความไม่แน่นอน บริษัทอยู่ในขั้นตอนการเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 30 เมษายน 2567 เพื่อขอขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นหุ้นกู้ดังกล่าว
ส่องงบการเงิน ECF ล่าสุด
กระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงเหลือ 42 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตซึ่งอยู่ที่ปีละ 200 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานติดลบอยู่ที่ 142 ล้านบาทในปี 2566 การลดลงของอัตรากำไรส่วนใหญ่มาจากผลกระทบในการผลิตบางส่วนหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566
นอกจากนี้ อัตรากำไรยังได้รับผลกระทบจากรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหลายรายการรวมมูลค่า 64 ล้านบาท อาทิเช่น การปรับราคาทุนของสินค้าคงเหลือ และการตั้งค่าเผื่อที่มากขึ้นในการบันทึกมูลค่าของสินค้าที่เคลื่อนไหวช้าหรือเสื่อมสภาพ
อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้ง มองว่าการดำเนินงานของบริษัทน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการจัดตารางการทำงานของพนักงานเพื่อลดค่าล่วงเวลา นอกจากนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่เสียหายและการปรับปรุงต้นทุนการผลิตจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูความสามารถในการทำกำไร ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่เข้ามาทดแทนซึ่งคาดว่าการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2567 อย่างไรก็ตาม การสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่นั้นยังขึ้นอยู่กับการได้รับเงินกู้จากธนาคารด้วย
ทริสเรทติ้ง จะทบทวนแนวโน้มเครดิตพินิจของบริษัทอีกครั้ง เมื่อได้ข้อสรุปจากการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ หรือบริษัทมีแผนในการหาแหล่งเงินทุนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในการชำระหุ้นกู้ที่กล่าวถึงในข้างต้น ในกรณีที่บริษัทไม่ได้รับข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นกู้ที่ในการขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นออกไป และไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ได้ ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทลงอีก
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทยังคงสูงเกินกว่า 8 เท่าโดยไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัว
ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้จนทำให้บริษัทสามารถลดลูกหนี้การค้าและลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญและสามารถปรับปรุงสถานะทางการเงินให้ดีขึ้นจนส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงจนต่ำกว่าระดับ 8 เท่าได้