กูรูชี้ มีลุ้นกนง.ลงมติลดดอกเบี้ย จับตาบอนด์ยีลด์ตอบรับเชิงบวก

09 เม.ย. 2567 | 11:40 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2567 | 11:44 น.

โบรกชี้มีลุ้นคะแนนเสียงคณะกรรมการ กนง. ลดดอกเบี้ย 4:3 เสียง หลังน้ำหนักรองรับค่อนข้างมาก เซอร์ไพรส์ตลาดทุนเชิงบวก แนะจับตาบอนด์ยีลด์หากเป็นบวกจะหนุนตลาดทุนไทย

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน)หรือ TNITY เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2567 หากว่าผลออกมาว่ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ตามปกติแล้วถ้าเซอร์ไพรส์ตลาดจะตอบสนองในเชิงลบ แต่ในรอบนี้คาดว่าตลาดอาจตอบสนองในเชิงบวกมากกว่า เพราะตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลดลงทุกไตรมาส อัตราการขยายตัวของ GDP ลดลงมาอยู่ที่ราว 2.5-2.8% ทำให้หลายฝ่ายก็ออกมาเรียกร้องให้มีการลดดอกเบี้ยลง

กรณีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมองว่าจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ด้วยระยะเวลาที่กว่าจะเห็นผลอย่างชัดเจน (Timelec Effect) อาจใช้เวลาประมาณ 9-12 เดือน หลังจากที่มีผลเริ่มต้นใช้ ซึ่งจะไม่ได้ส่งผลต่อตลาดทุนในทันที ทั้งนี้ ก็ต้องดูที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ร่วมด้วย เพราะว่าผลตอบแทนจะส่งผลต่อการระดมทุนให้ง่ายมากขึ้น

ทั้งนี้ หากว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ลดลงตามก็มองว่าจะเป็นคุณประโยชน์ต่อตลาด แต่ถ้าไม่ลดก็แสดงและยังอยู่ในระดับสูงต่อก็แสดงให้เห็นว่าตลาดยังไม่ตอบสนองทางบวกนัก สะท้อนต่อสภาพคล่องที่ลดลง เพราะต้องยอมรับว่า Bond Yield เป็นระบบกลไก (mechanism) ของตลาดทุนไทย ซึ่งก้างต่อไปนักลงทุนคงต้องหันไปพึ่งนโยบายทางการคลังใหม่ของภาครัฐที่จะออกมาเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้แทน

โดยหากว่าตลาดหุ้นไทยตอบรับในเชิงบวกต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ ก็คาดว่ากลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวอาจเป็นเพียงบางกลุ่ม (Sector) เท่านั้น อาทิ กลุ่มกุ้นที่มีการกู้ยืมเงินเพราะต้นทุนทางการเงินจะลดลง ในขณะที่กลุ่มแบงก์ อาจไม่ได้ประโยชน์ทางตรง แต่ได้ผลทางอ้อมจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าอาจได้เห็นคณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง หรือ 3 ต่อ 4 เสียง เพราะในขณะนี้มีเหตุผลในการรองรับการลดอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก ทั้งเรื่องของตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลง และโดยเฉพาะในเรื่องของ GDP ที่เดิมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.3% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% อยู่ในช่วงที่เหมาะสม แต่ด้วยตัวเลข GDP ที่ปรับตัวลดลงมาเหลือที่ราว 2.5-2.8% ทำให้มองว่าอัตราดอกเบี่้ยระดับ 2.5% นั้นสูงเกินไป และระดับที่ดีอาจต้องต่ำกว่า 2.25% เป็นต้นไป

สำหรับมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/2567 คาดว่าภาพรวมจะมีทิศทางที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา เนื่องจากตัวเลขสภาพคล่องภายใน (M2) เริ่มฟื้นตัวในระบบที่อ่อนแอมาก ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นการฟื้นตัวอย่างหวือหวามูลค่าการซื้อขายอาจอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2/2567 มีวันหยุดยาวเทศกาลทำให้วันทำการซื้อขายมีน้อย อย่างไรก็ดี ผลจะแสดงให้เห็นภาพอย่างชัดในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 นี้เป็นต้นไป ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

อย่างไรก็ดี มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 นี้อาจมีได้เห็นแน่ๆ อย่างน้อย 1 ครั้ง และทั้งปีนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ระดับ 1500 จุด ส่วนในไตรมาส 2/2567 ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับเหนือ 1400 จุดได้ และคงไม่ปรับตัวลดลงมาต่ำ 1300 จุดแล้ว

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยว่า มองว่าขณะนี้ข้อมูลต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้นที่จะทำให้ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาดอกเบี้ยค่อนข้างที่จะหนักขึ้น โดยยังคงต้องรอดูต่อไป แต่ด้วยเหตุผลและสถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้ก็มีแนวโน้มการตัดสินใจเรื่องการลดดอกเบี้ยสูงขึ้น เพราะว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นจำนวนของคนที่เลือกตัดสินใจลดดอกเบี้ยมากขึ้น แต่หากให้สรุปเองว่าจะลดหรือไม่ลดในรอบนี้คงตอบไม่ได้ เพียงแค่ให้มุมมองในเชิงนักเศรษฐศาสตร์มากกว่า