ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,460.92 จุด ลดลง 42.77 จุด หรือ -0.11%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,071.63 จุด เพิ่มขึ้น 1.08 จุด หรือ +0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,712.75 จุด เพิ่มขึ้น 16.11 จุด หรือ +0.10%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีทะยานขึ้นเหนือระดับ 4.67% เมื่อคืนนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.95%
ท้อดด์ มอร์แกน ประธานบริษัท Bel Air Investment Advisors กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันตลาด โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นไปแล้ว 0.70% และหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นจนถึงระดับ 5% ก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรงในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หุ้นเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.6% ขณะที่หุ้นไบโอเจน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยา พุ่งขึ้น 4.5% และหุ้นบอสตัน ไซเอนทิฟิก ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทะยานขึ้น 5.7% หลังจากทั้ง 3 บริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด
หุ้นแฮสโบร ซึ่งเป็นผู้ผลิตของเล่น พุ่งขึ้นเกือบ 12% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 1 ลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และยังได้เปิดเผยตัวเลขกำไรที่สูงกว่าการคาดการณ์
หุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 12% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลากล่าวว่า บริษัทอาจเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีราคาถูกเร็วกว่าที่กำหนดไว้ โดยอาจเริ่มดำเนินการในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า จากเดิมที่มีกำหนดเริ่มการผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส แม้ตัวเลขรายได้จะอยู่ในระดับสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ก็ตาม ขณะที่นายเดฟ แคลฮูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโบอิ้งกล่าวว่า ในระยะใกล้นี้ โบอิ้งยังคงเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากการส่งมอบเครื่องบินที่ลดลงได้สร้างปัญหาให้กับลูกค้าและสถานะการเงินของบริษัท
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ปรับตัวลง 0.5% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบท
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2567 ของสหรัฐในวันนี้ (25 เม.ย.) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์นี้ (26 เม.ย.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนมี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.พ.
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ.