โดยเหตุผลของการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นนั้นมาจากการฟื้นตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวมาตั้งแต่ปี 2566 หลังจากสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 “จบลง”
ตัวเลขการนำเข้าและส่งออกที่เคยซบเซาเพราะภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่เอื้ออำนวยนั้น เดือนเมษายนที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 19.9% และ 10.6% ตามลำดับ ซึ่งทำให้ประเทศได้เปรียบดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขการบริโภคของประชาชนคือการค้าปลีกเพิ่มขึ้น 9% รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 58% และ 4 เดือนที่ผ่านมานั้นแซงช่วงก่อนโควิดไปแล้ว การลงทุนทางตรงของต่างชาติตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้น 7.4% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจที่จะเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง เช่นเดียวกับค่าเงินด่องที่อ่อนค่าลงน้อยกว่าหลาย ๆ ประเทศรวมถึงไทยนับตั้งแต่ต้นปี
ดูเหมือนว่าเวียดนามกำลัง “ตั้งหลัก” ได้ และกำลัง “ฟื้นตัว” จากภาวะวิกฤติเนื่องจากโควิด 19 ซึ่งช่วงหนึ่งดัชนีหุ้นตกลงมาอย่างรุนแรงประมาณ 45% จนเหลือประมาณ 650 จุด เมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ถึงวันนี้ เศรษฐกิจของเวียดนามแข็งแกร่งและโตขึ้นมาก ตัวเลขและดัชนีทางเศรษฐกิจทุกตัวปรับขึ้นอย่างโดดเด่นซึ่งส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในระดับโลกของเวียดนามสูงขึ้นมาก และแม้ว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้จะมีประเด็นทางการเมืองที่ผู้นำหลายคนต้องถูกปรับให้ออกไปเนื่องจากประเด็นการคอร์รัปชั่น ก็ดูเหมือนจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจแต่อย่างใด
ตลาดหุ้นจีนที่ฮ่องกง นับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 10 พฤษภาคม ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 13% แล้วทั้ง ๆ ที่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ดัชนีตกลงมาประมาณ 11% และเป็นจุดที่ต่ำมากคือต่ำกว่าจุดสูงสุดในช่วงไม่น้อยกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นถูกมากคือมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่าทั้ง ๆ ที่บริษัทจดทะเบียนเป็นบริษัทใหญ่และเป็นบริษัททางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
นั่นทำให้รัฐบาลจีนต้องออกมาประกาศที่จะเข้ามาดูแลและพยุงหุ้นด้วยเม็ดเงินมหาศาล ซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นฮ่องกงเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึงประมาณ 27% ภายในเวลาเพียง 4 เดือนแม้ว่ารัฐบาลดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ทำอะไรมากตามที่ประกาศไว้ อาจจะเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มเห็นว่า ด้วยราคาหุ้นที่ถูกมากและรัฐบาลเริ่มที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อตลาดหุ้นในทางที่ดีขึ้นแทนที่จะ “ทุบ” บริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะหุ้นเท็คในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งทำให้หุ้นแย่มาหลายปี
การเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นจีนรอบนี้แม้ว่าจะแรง แต่ถ้ามองยาวออกไปซึ่งจะต้องอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมารองรับก็อาจจะมีคำถามสำคัญที่ตามมา จริงอยู่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจล่าสุดในเดือนเมษายนแสดงให้เห็นว่าการส่งออกเริ่มจะฟื้นตัวที่บวก 1.5% เทียบกับปีก่อนจากเดือนก่อนที่การส่งออกติดลบ 7.5% ในขณะที่การนำเข้าก็เพิ่มขึ้น 8.4%
ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการเติบโตของ GDP จะดีขึ้น แต่ปัญหาก็คือ ประเทศผู้ส่งออกที่เป็นคู่แข่งหลายประเทศเช่นเกาหลีใต้และใต้หวันต่างก็ส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าจีนอาจจะกำลังถดถอยลงในด้านของการแข่งขัน ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นกับสหรัฐ ซึ่งนับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้น
ดังนั้น การปรับเพิ่มขึ้นของหุ้นในระยะยาวก็อาจจะไม่โดดเด่นตามการเติบโตของเศรษฐกิจที่อาจจะเติบโตช้าลง พูดง่าย ๆ หลังจากการปรับตัวรอบนี้แล้ว อนาคตก็อาจไปต่อไม่ได้มากโดยเฉพาะเมื่อค่า PE ของหุ้นสูงขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นของตลาดหุ้นจีนและเวียดนามในช่วงเร็ว ๆ นี้ ได้ทำให้นักลงทุนไทยหลาย ๆ คนที่เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ได้กำไรหรือทำผลตอบแทนที่ดีมาก เพราะไม่ใช่เป็นเพราะตัวดัชนีหุ้นอย่างเดียว แต่ “หุ้นรายตัว” หลายตัวที่นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนนั้น มีการปรับตัวขึ้นไปสูงมาก
หุ้นเวียดนามที่ทำกำไรให้ VI หลายคนกำไรเป็นกอบเป็นกำมักจะเป็นหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” นั่นคือ เป็นหุ้นที่โตเร็วและราคาถูกหรือไม่แพงซึ่งก็หาได้ไม่ยาก เพราะเศรษฐกิจเวียดนามโตเร็วมาก แทบทุกอุตสาหกรรมยังเติบโต ในขณะที่ราคาหุ้นยังถูก ค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า เช่นในอุตสาหกรรมการเงินและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนในอุตสาหกรรมที่เริ่มเห็นผู้ชนะชัดเจนเช่น ผู้ค้าปลีก อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และสนามบินและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องก็มักมีค่า PE ระดับแค่ 20 เท่าบวกลบ หุ้นเหล่านี้ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ VI หลายคนรวมถึงผู้บริหารกองทุนเวียดนามหลายรายกลายเป็น “เซียนหุ้นเวียดนาม” ไปแล้ว
หุ้นจีนนั้น ก่อนหน้านี้ประมาณแค่ 6-7 เดือนก็ยังหาคนที่ลงทุนแล้วทำกำไรดียากมาก เพราะดัชนีหุ้นลดลงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การตกลงมาของหุ้นอย่างแรงครั้งสุดท้ายได้ก่อให้เกิด “หุ้นถูกสุด ๆ” จำนวนมาก บางบริษัทที่ถูกรัฐบาล “ทุบ” อย่างรุนแรงเช่นที่เกี่ยวกับการศึกษาที่รัฐประกาศนโยบาย “ไม่ให้เป็นธุรกิจที่ค้ากำไร” ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนที่เป็นโรงเรียนทุกประเภทแทบจะหมดค่า ราคาหุ้นตกลงมา 80-90% ค่า PE เหลือแค่ 2-3 เท่าก็มี
นั่นยังไม่รวมถึงหุ้นเท็คโนโลยีชั้นนำที่ถูก “ทุบ” ไปก่อนหน้านั้นแล้วที่ค่า PE ลดลงมามากและก็ต่ำมากเทียบกับหุ้นเทคระดับโลกอื่น ๆ
VI ที่กล้าเข้าไปลงทุนในช่วงที่ “มืดมน” มากของหุ้นจีน เพราะทั้งถูกสหรัฐแซงชั่นและข่มขู่ว่าจะยังทำต่อไป และถูกรัฐบาลจีนกดดันอย่างหนักเนื่องจากไป “ท้าทาย” นโยบาย “Common Prosperity” หรือการทำให้เกิด “ความเท่าเทียมของประชาชน” ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต่างก็ได้รับผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะเวลาที่สั้นมาก ซึ่งก็ทำให้กลายเป็น “เซียนหุ้นจีน” ไป
บางคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือ “เซียนหุ้น” เพราะไม่มีนิยามที่ชัดเจน ผมเองจึงลองกำหนดลักษณะของคนที่จะได้รับฉายา “เซียนหุ้น” แบบหยาบ ๆ ดังต่อไปนี้
ข้อแรกคือ ต้องทำกำไรจากหุ้นเวียดนามและจีน “เยอะมาก” ในระยะเวลาค่อนข้างสั้น เช่น หุ้นบางตัวกำไรเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัวในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหรือแค่ปีสองปี เม็ดเงินที่ได้ก็ต้องเป็นหลักล้านหรือหลาย ๆ ล้านบาทขึ้นไป
ข้อสองคือ ถ้าจะเป็นเซียนได้ พอร์ตส่วนตัวโดยรวมก็ต้องใหญ่หรือใหญ่มาก เป็นหลัก 10 หรือ 100 บางคนก็อาจจะเป็นพันล้านบาท ซึ่งพอร์ตนี้ก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นที่ทำกำไรได้ในตลาดเวียดนามหรือจีนมากนัก พูดง่าย ๆ นักลงทุนพอร์ตเล็กแม้ว่าจะทำผลตอบแทนดีแค่ไหน คนก็ไม่เรียกว่าเซียน
ข้อสามก็คือ สาธารณชน “รับรู้” หรือ “เข้าใจ” ว่าเขาทำอะไรและอย่างไรที่ทำให้รวยหรือได้รับผลตอบแทนจากหุ้นที่สูงลิ่ว อาจจะเนื่องจากมีสื่อที่นำเรื่องราวมาบอกแก่สาธารณชน มีการเปิดเผยข้อมูลจากหน่วยงานและเวบไซ้ต์สาธารณะถึงจำนวนและราคาของหุ้นที่ “เซียน” ถือ และสุดท้ายที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ มีการออกรายการและให้สัมภาษณ์กับสื่อทางการเงินต่าง ๆ ถึงรายละเอียดของกลยุทธ์การลงทุนที่ทำ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยก็คือ จะมี “เซียนหุ้นจีน-เวียดนาม” ที่ไม่ได้บริหารเงินตนเอง แต่เป็นคนที่ “บริหารกองทุนรวม” หุ้นจีนและ/หรือเวียดนาม ที่เป็นกองทุน “Active Fund” แนวเฮดจ์ฟันด์ที่เลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัวและมีข้อจำกัดในการลงทุนน้อย ในขณะที่ผู้ลงทุนก็มักจะเป็น “รายใหญ่” ที่ต้องถือหน่วยลงทุนในระดับอย่างน้อยเป็นแสนหรือหลักล้านบาทขึ้นไป อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากประเด็นเรื่องภาษีการลงทุนหุ้นต่างประเทศที่ทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลจะต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาที่สูงสุด 35% หากมีกำไรจากการลงทุนและนำเงินกลับไทย
การ “กำเนิด” เซียนหุ้นเวียดนาม-จีน นี้ แน่นอนว่าอาจจะมีโอกาสที่จะ “ดับ” ได้ในอนาคต ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่เคยมี “เซียนหุ้น” เกิดขึ้นมากมายแบบไม่น่าเชื่อในยุคที่ตลาดหุ้นบูมและเอื้ออำนวย ในช่วงนั้นเรามี “เซียนหุ้น” เกิดขึ้นมากจนแทบจะ “เดินชนกัน” แต่ละเซียนต่างก็มีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่แนวซุปเปอร์สต็อก แนวเทรดเดอร์ทั้งแบบ VI และโมเมนตัม แนวหุ้น Turnaround หรือหุ้นฟื้นตัว มีทั้งแบบที่เสี่ยงมากเพราะใช้เงินกู้มหาศาลและแนวที่เสี่ยงน้อยกว่าแต่ก็ยังลงทุนในหุ้นเต็มร้อย แต่เมื่อภาวะตลาดตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เซียนจำนวนมากก็ “ล้มหายตายจาก” ไป
คงต้องดูกันต่อไปว่าพัฒนาการของ “เซียนหุ้นจีน-เวียดนาม” จะไปได้ไกลแค่ไหน