นายวรวัสส์ วัสสานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เปิดเผยว่า SEI เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 29.41% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอุปโภคบริโภค ภายในไตรมาส 3/2567 นี้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน SEI มีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 60 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 120 ล้านหุ้น มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษี
นายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI ผู้ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่าย และให้เช่าเครื่องมือทางการแพทย์ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์แบบครบวงจร (One stop service ) กล่าวว่า บริษัทมุ่งสู่การเป็นผู้นำทางด้านการจัดจำหน่าย และให้บริการทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมกับการให้บริการที่ครบวงจรสำหรับลูกค้า
เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ด้านสุขภาพของประชากร ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ซี่งสอดรับกับพันธกิจที่มุ่งเน้นการให้บริการและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ที่ครอบคลุมการดูแลด้านสุขภาพ และตอบสนองความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสาธารณสุขของประชากรทุกช่วงวัย โดยแสวงหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานสากล
สำหรับวัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพการให้บริการลูกค้าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ สั่งซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ จะนำเงินระดมทุนเพื่อใช้ในโครงการร่วมลงทุนกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์ หรือลงทุนด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ส่งเสริมธุรกิจของบริษัทสู่การสร้างศักยภาพทางการเงิน และสร้างโอกาสการขับเคลื่อนทางธุรกิจสู่การยกระดับการให้บริการเครื่องมือและนวัตกรรมทางการแพทย์ให้ครบวงจรในทุกมิติ
หากประเมินจากภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในไทย ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณของประเทศเพื่อใช้งานในกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 13,462.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.8% จากปี 2566 ดังนั้นมองว่า SEI ได้อานิสงส์เชิงบวกจากการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ของประเทศไทย เนื่องจากบริษัทจัดหาสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ของผู้ผลิตชั้นนำจากต่างประเทศ
โดยการสั่งซื้อจากตัวแทนของผู้ผลิตในประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน และนำเข้าโดยตรงจากผู้ผลิตในต่างประเทศ และจัดจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศ อาทิ โรงพยาบาลรัฐบาล สถาบันการศึกษาแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลของเอกชน คลินิก เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการต่างๆ แบบครบวงจร อาทิ บริการซ่อมบำรุงเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ (Maintenance Service) รวมถึงจัดสอนวิธีการใช้งานเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ให้แก่ลูกค้า
โดยสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
ซึ่งในปัจจุบัน “SEI” ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตทั้งหมด 17 ราย จาก 11 ประเทศ โดยได้จดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์ ในประเทศไทยกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สังกัดกระทรวงสาธารณะสุข ซึ่งสามารถแบ่งเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้ SEI มีจุดเด่นความเชี่ยวชาญการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการให้บริการติดตั้ง ซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ทำให้ SEI มีฐานลูกค้าทั่วประเทศ ส่งผลให้ SEI ได้รับความไว้วางใจในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต และได้รับการต่ออายุสัญญาแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Agreement) จากผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี ดังนั้นด้วยความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของบริษัทฯ ประกอบกับความเชื่อมั่นจากผู้ผลิต และลูกค้า
จึงตอกย้ำถึงศักยภาพการแข่งขันที่จะก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย จากความโดดเด่นดังกล่าวข้างต้นได้สะท้อนออกมาในตัวเลขของผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) โดยบริษัทมีรายได้รวม 374.00 ล้านบาท, 320.55 ล้านบาท และ 393.57 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิปี 2564-2566 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 16.21 ล้านบาท, 17.86 ล้านบาท และ 21.87 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.28%, 5.54% และ 5.55% ของรายได้รวม ตามลำดับ