ทรีนีตี้ เปิดกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 3/67 ตลาดหุ้นไทยกำไรอ่อนแอจำกัดกรอบดัชนี

26 มิ.ย. 2567 | 08:20 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2567 | 08:28 น.

“ทรีนีตี้” มองหุ้นไตรมาส 3 “Sideways” โดย Upside ของดัชนียังถูกจำกัดจากแนวโน้มกำไรที่อ่อนแอ ให้กรอบดัชนีแนวรับที่ 1,270 และ 1,240 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,340 จุด และ 1,370 จุด ชี้แรงขายนักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มทยอยลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมคัด 10 หุ้นน่าสนใจ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2567 ประเมินภาพ SET Index มีโอกาสแกว่งตัว Sideways และดัชนีน่าจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาสนี้ โดยกำหนดแนวรับแรกที่ระดับดัชนี 1,270 จุด ซึ่งตรงกับกรณีเลวร้ายสุดเดิมโดยอิงกับสมมติฐานว่า ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยได้ 0.25% ในปี 2567 นี้ และกำหนดแนวรับสำคัญที่บริเวณดัชนี 1,240 จุด ซึ่งเป็นระดับเลวร้ายสุดใหม่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ ธปท. อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้แล้ว

แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ตั้งรับตามกรอบแนวรับที่ให้ไว้ทั้ง 2 แนวตลอดทั้งไตรมาส 3 นี้  ในทางกลับกัน ประเมินแนวต้านแรกที่ดัชนี 1,340 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 1,370 จุด ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท.มีผลต่อโมเดล P/E หากลดดอกเบี้ยปีนี้ 0.25% เหลือ 2.25% ณ สิ้นปี  Forward PE ที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทยในกรณีดีสุด (Bull) / ฐาน (Base) / แย่สุด (Worst) จะอยู่ที่ 14.2 เท่า 13.2 เท่า และ 12.3 เท่า ตามลำดับ

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

ซึ่งหมายความว่าระดับ SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีเดิม หากอิงกับคาดการณ์ EPS ปีหน้า (2568) ที่ 107 บาทจะอยู่ที่ 1,480 จุด 1,370 จุด และ 1,270 จุด ตามลำดับ ในทางกลับหาก ธปท. อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่เหลือของปีนี้เลย Forward PE ของ SET ในแต่ละกรณีก็จะต้องถูกลดทอนด้วยเช่นกัน โดยจะลงมาอยู่ที่ระดับ 13.8 เท่า 12.8 เท่า และ 11.9 เท่า ตามลำดับ และดัชนีที่เหมาะสมในแต่ละกรณีได้ที่ 1,430 จุด 1,340 จุด และ 1,240 จุด ตามลำดับ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3/2567 ยังอยู่ท่ามกลาง สภาวะอึมครึมจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ที่กว่าจะเห็นความชัดเจนคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ขณะที่ในช่วงปลายเดือนกันยายนอาจต้องระวังปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ โดยในส่วนของในประเทศ จะเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินลงทุนเพื่อเกษียณอายุราชการจะสามารถครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศโดยอัตโนมัติ

ส่วนปัจจัยต่างประเทศนั้น  หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตัดสินใจไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดหวังไว้จะทำให้ Bond yield และเงิน USD ปรับตัวขึ้นอีกครั้ง จนเป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดได้ สำหรับประเด็นมาตรการ Uptick rule ของทางตลาดหลักทรัพย์ที่จะเริ่มบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้นั้น มองว่าเป็นปัจจัยที่พอจะช่วยค้ำยัน Downside ของดัชนีไว้ได้บ้าง

โดยเฉพาะในวันที่ดัชนีมีการไหลลงแรงระหว่างวัน จะเป็นตัวช่วยลดทอนแรงขายแบบโมเมนตัมได้ แต่ไม่คิดว่ามาตรการนี้จะเป็นตัวผลักดัน Upside ของดัชนีได้ ขณะที่ Earnings จะยังเป็นปัจจัยชี้นำที่สำคัญที่สุดต่อตลาดหุ้นในไตรมาสนี้ ในช่วงเวลาที่ปัจจัยอื่นๆยังไม่น่าจะมีอิทธิพลมากนัก

นายณัฐชาต กล่าวถึงแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในไตรมาส 3/2567 ว่า จะยังมีแรงขายเหลืออยู่ แต่จะไม่รุนแรงเท่ากับช่วง ครึ่งแรกของปี 2567 ที่ได้ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 1 แสนล้านบาท เนื่องจากประเมินว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทน่าจะมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 37 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเตรียมเข้าสู่ช่วง High season ของการส่งออก จะช่วยหนุนดุลการค้า รวมถึงการโยกย้ายเงินปันผลกลับของนักลงทุนต่างชาติก็ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว 

โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วง 3 เดือนข้างหน้าแบ่งออกเป็น กลุ่มที่อิงกับปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยกลุ่มที่อิงกับปัจจัยภายนอก คือ กลุ่มส่งออกอาหารและเกษตรแปรรูป คาดว่ากำไรของกลุ่มนี้จะยังคงแข็งแกร่ง จากการเข้าสู่ช่วง High season ของฤดูกาลส่งออก และสินค้าหลายชนิดมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก หากดีมานด์ยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี น่าจะก่อให้เกิดการใช้กำลังการผลิตในระดับสูงจนทำให้เกิดภาวะ Economies of Scale หนุน Margin ต่อไปได้

ที่สำคัญ สินค้าบางชนิด ยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากมาตรการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอีกด้วย กลุ่มหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายใน นักลงทุนจำเป็นต้องเน้นไปยังกลุ่มที่มี Margin of Safety ในเชิง Valuation และ มีธีมการลงทุนสนับสนุนเฉพาะตัว อย่างเช่น กลุ่มที่อิงกับการลงทุนภาครัฐ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มธนาคารที่กระจายความเสี่ยงออกจากฐานลูกค้ารีเทล

สำหรับธีมการลงทุนเฉพาะด้าน มองไปยังตัวหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสภาวะ La Niña ที่จะเข้ามาอิทธิพลมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3/2567 และจะถึงจุดพีคสุดในช่วงไตรมาส 4/2567 ในอดีตปรากฏการณ์นี้มักนำมาสู่การปรับขึ้นของราคาสินค้าเกษตรบางชนิด ตามระดับอุปทานในฝั่งทวีปอเมริกาที่ได้รับผลกระทบ ส่วนละแวกเอเชียตะวันออกเฉียงใน้รวมถึงบ้านเรานั้น ด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกชุกมากกว่าปกติ มักจะส่งผลบวกต่อกลุ่มผู้แปรรูปสินค้าเกษตร ตามต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง รวมไปถึงผู้เล่นในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเป็นสำคัญ 

โดยหุ้นที่น่าสนใจ 10 ตัวที่ทางฝ่ายแนะนำเป็น Top pick ประจำไตรมาสที่ 3/2567 ได้แก่ COCOCO, SAPPE, STGT, SCCC, TASCO, BCH, BBL, KTB, CKP และ TVO เป็นต้น