หุ้นกู้กลุ่มพลังงานสะอาด-ESG ยังไปต่อได้

20 ก.ค. 2567 | 02:08 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ค. 2567 | 02:08 น.

ตลาดเงินตลาดทุนมอง แนวโน้มหุ้นกู้กลุ่มพลังงานสะอาด หรือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ยังไปต่อได้ หลังถูกท้าทายจากธรรมาภิบาลจากกรณี EA  ชี้บริษัทใหญ่ๆ ยังระดมทุนได้ 1 ปีจากนี้ หุ้นกู้จะครบกำหนด 1.14 ล้านบาท

กรณีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)หลายแห่งที่ลงทุนในหุ้นของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด(มหาชน) หรือ EA ประกาศไม่ขาย หรือไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามคำสั่งที่รับไว้และหยุดรับคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุนที่ลงทุนในหุ้น EA หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กล่าวโทษผู้บริหารต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)

แหล่งข่าวจากตลาดเงินตลาดทุนเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ส่วนตัวมองว่า เป็นผลเชิงบวก เพราะสะท้อนถึงการ Cut Loss ซึ่งมีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ( NAV)ทันที โดยไม่ยืดเยื้อ แต่สำหรับผู้ถือหน่วยที่ตอนนี้ยังไม่ได้ขายอาจจะช้าหรือไม่ทันแล้ว

ส่วนบลจ.ที่ถือหน่วยลงทุนของ EA นั้น ถ้าเป็นบลจ.ใหญ่และมีแม่เป็นธนาคารพาณิชย์จะมีความได้เปรียบสามารถบริหารจัดการได้ แต่คงจับตาบลจ.ขนาดรองลงมาอย่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง(ประเทศไทย) จํากัด (บลจ.อีสท์สปริง) กับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เพราะยังไม่ทราบว่า พฤติกรรมถอนเงินจะเป็นอย่างไร

 “2 วันที่ผ่านมา NAV ถูกจัดการไปแล้วคือ ผู้ที่ขายออกไปอาจจะได้รับเงิน ซึ่งรับผล NAV ไปแล้ว แต่หากยังมีผู้ต้องการขายออก ก็ต้องติดตามสถานการณ์คาดว่า ขนาดกองทุนน่าจะบริหารจัดการได้ หลังจากราคาลดลงนิ่งแล้ว เข้าใจว่าหุ้นกู้ EA เวลานี้ บริษัทยังมีความไม่แน่นอนสูง เพราะยังไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนอย่างไรหรือจะแก้ปัญหาได้จบเมื่อไหร่”แหล่งข่าวกล่าว

ในแง่นักลงทุนบางส่วน อาจจะเชื่อมั่นในบริษัท ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารชุดใหม่หรือบอร์ดใหม่ ที่มองว่า บริษัทยังมีเงินสด อาจจะมองเป็นโอกาส โดยซื้อขายกันในราคาส่วนลด 50-70% โดยคาดหวังว่า บอร์ดชุดใหม่จะบริหารจัดการได้ ไม่ว่าโจะเป็นการปรับโครงสร้าง หรือสถาบันการเงินเจ้าหนี้ที่ได้รับผลกระทบอาจจะอุ้มบริษัท ซึ่งอาจจะมีการลดทุนหรือเพิ่มทุนและมีเงินใหม่เข้ามาทำให้สามารถจัดการงบดุลและตั้งหลักได้ และเมื่อถึงเวลานั้นหรือในอนาคต อาจจะซื้อขายหุ้นกู้ได้เงินคืนประมาณ 80%

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ตอนนี้หุ้นกู้ EA เป็นหุ้นกู้ High Yield ไปแล้ว แต่โอกาสจะลามหุ้นกู้รายอื่นหรือไม่นั้น ในแง่ผู้ลงทุนที่จะได้รับผลกระทบน่าจะเป็นรายเล็กๆ ที่มีงบการเงินไม่แข็งแรงหรือนักลงทุนไม่แน่ใจเรื่องธรรมาภิบาล โดยเฉพาะบอนด์กลุ่ม High Yield ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ ซึ่งบริษัทจะต้องตั้งรับมากขึ้น แม้จะจ่ายผลตอบแทนแพง 6-7%ต่อปี

แต่ในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่เท่าที่ติดตามดูเวลานี้ ไม่น่าจะมีผลกระทบรุนแรง และยังมีแนวโน้มจะมีขายหุ้นกู้อีกหลายบริษัท เช่น บริษัท บี.กริม จำกัด(มหาชน) หรือ BGRIM บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SAWAD และบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ MTC

หุ้นกู้กลุ่มพลังงานสะอาด-ESG ยังไปต่อได้

แหล่งข่าวอีกรายให้ความเห็นว่า แนวโน้มธุรกิจหุ้นกู้ยังดำเนินต่อไปได้ รวมถึงตลาดหุ้นกู้ในกลุ่มพลังงานสะอาดหรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) โดยปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดตอนนี้ เป็นบทเรียนสำหรับหน่วยงานกำกับ โดยรวมถึงคณะกรรมการด้านกรีนไฟแนนซ์ (Green Finance) ต้องปรับเกณฑ์กำกับให้มากขึ้น เพื่อสะท้อนศักยภาพหุ้นกู้ที่สามารถอยู่ใน ESG SET INDEX ได้ หรือคณะกรรมการต้องทบทวน กำกับดูแลและมีความเข้มงวดมากขึ้นไม่ปล่อยปละละเลยทั้งในตลาดหุ้นสามัญและตลาดบอนด์ด้วย

รายงานข่าวจากสมาคมตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)ระบุว่า หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดใน 12 เดือนจากนี้ไป มีมูลค่ารวม 1.14 แสนล้านบาท โดยจะครบกำหนดในครึ่งหลังปี 2567 จำนวน 6.75 แสนล้านบาทแบ่งเป็นหุ้นกู้ระยะยาว 4.37 แสนล้านบาทและหุ้นกู้ระยะสั้น 2.38 แสนล้านบาท และที่จะครบกำหนดในครึ่งแรกปี 2568 อีก 4.69 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ระยะยาว 4.59  แสนล้านบาทและหุ้นกู้ระยะสั้น 1.02 แสนล้านบาท 

สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในครึ่งหลังปี 2567 นั้น หุ้นกู้ระยะยาว ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไฟแนนซ์ 79,513 ล้านบาท  รองลงมาเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 79,353 ล้านบาท พลังงาน 75,185 ล้านบาท ไอซีที 39,722 ล้านบาทและวัสดุก่อสร้าง 39,015 และหุ้นกู้ระยะสั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มไฟแนนซ์ 55,925 ล้านบาท อาหาร 47,885 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ 37,269 ล้านบาท  เกษตร 30,570 ล้านบาทและกลุ่มพลังงาน 20,500 ล้านบาท

 

หน้า 13  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,011  วันที่  21 - 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2567