จากการเข้าสู่ช่วงประกาศงบผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/2567 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 ทำให้เป็นที่จับตาว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้หรือไม่ หลังจากที่ผ่านพ้นช่วยวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบ
และที่หนักสุดคงหนีไม่พ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่โดนคลื่นหลายระลอกเข้ามากระแทก ตั้งแต่การล็อกดาวน์ประเทศ การสั่งปิดไซต์งาน เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มสูง ขาดแคลนแรงงาน ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้การลงทุนลดลง และการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทำให้นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโรคระบาดกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เริ่มทรุดตัวลงไปตามๆ กัน จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานเป็นตัวสะท้อนถึงปัญหาได้เป็นอย่างดีสำหรับช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากที่มีการปลดล็อกดาวน์และกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ตลอดจนภาครัฐยังคงอัดฉีดงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2567 ดูเหมือนจะเริ่มมีความหวังเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างว่า ฝ่ายวิจัยคาดกำไรหลักรวมกลุ่มรับเหมาฯ 3 บริษัท ได้แก่ CK STEC และ CIVIL เพิ่มขึ้น 3% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 374% จากไตรมาสก่อน
โดยรายได้หลัก และ GM เฉลี่ยคาดปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตัวช่วยผลประกอบการอย่างส่วนแบ่งกำไร-เงินปันผล จะเป็นตัวช่วยหนุนกำไรไตรมาสนี้ โดย CK คาดว่าจะเติบโตได้เด่นสุด หากเทียบกับไตรมาสก่อน ตามมาด้วย CIVIL ที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
ฝ่ายวิจัยมองว่า CK กำไรหลักในไตรมาส 2/2567 ที่ 486 ล้านบาท ทรงตัวจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เพิ่มขึ้น 301% จากไตรมาสก่อน หลักๆ จากส่วนแบ่งกำไร และปันผลรับ โดยคาดรายได้ธุรกิจรับเหมา ทรงตัวจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน แนวโน้มไตรมาส 3/2567 คาดว่าจะเห็นกำไรเพิ่มขึ้นทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จาก BEM และ CKP (High season ของธุรกิจโรงไฟฟ้าน้ำ)
ขณะที่ STEC คาดกำไรหลักในไตรมาส 2/2567 ที่ 168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และพลิกจากขาดทุนหลักจากไตรมาสก่อน โดยการเพิ่มขึ้นจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน หนุนโดยรายได้, GM และเงินปันผลรับ
ขณะที่เทียบจากไตรมาสก่อน เกิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากงานโรงไฟฟ้า บวกกับปันผล GULF กลบผลกระทบของส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 3/2567 คาดกำไรหลักลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้า และจากไตรมาสก่อน (ไม่มีปันผลจาก GULF)
ด้าน CIVIL คาดกำไรหลักในไตรมาส 2/2567 ที่ 22.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน (จากฐานต่ำ และ GM ที่ดีขึ้น) และลดลง 11% จากไตรมาสก่อน โดยรายได้หลักคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน
ผลบวกจากการทยอยรับรู้งานโครงการขนาดกลาง-เล็ก ที่ได้งานมาก่อนหน้านี้ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/2567 คาดว่ายังประคองตัวจากไตรมาสก่อน ได้ต่อคล้ายไตรมาส 2 และจะทำจุดสูงสุดของปีช่วงไตรมาส 4/2567 ตามการรับรู้รายได้จากงานที่ทยอยเพิ่มกลางปี
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ในเชิงพื้นฐานฝ่ายวิจัยชอบ CK มากสุดในกลุ่มจากงานในมือที่รอส่งมอบ (Backlog) ที่แข็งแกร่ง และเชิงเก็งกำไรฝ่ายวิจัยชอบ STEC เนื่องจากมีโอกาสลุ้นงานทั้งรัฐ-เอกชน
เริ่มต้นที่ CK รวมรายได้อยู่ที่ 9,666.72 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 121.00 ล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ 6,605.39 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี อยู่ที่ 8,100 ล้านบาท
STEC รวมรายได้อยู่ที่ 6,539.19 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 11.85 ล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 3,578.04 ล้านบาท ด้านหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี อยู่ที่ 94.38 ล้านบาท
สำหรับ CIVIL รวมรายได้อยู่ที่ 1,031.16 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 25.05 ล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 299.21 ล้านบาท