นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วในวันนี้ 22 ส.ค.2567 ทางฝ่ายมองว่าจะเป็นผลบวกต่อกระแสเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) มากกว่า เกิดดีมานด์ค่าบาทเข้ามาในหลายสินทรัพย์ ทั้งพันธบัตร ตราสารหนี้ และตราสารทุน
ด้วยส่วนต่างค่าเงินบาทและดอลลาร์เริ่มแคบลง ส่งผลทำให้นักลงทุนต่างชาติมองหาการลงทุนยังสินทรัพย์ อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงหันกลับมามองการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งตลาดทุนไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย
ทั้งนี้ ตลาดเองก็ยังรอดูถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นายเจอโรม พาวเวลล์ ในวันศุกร์ที่ 23 ส.ค.2567 ว่าจะมีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย2567 นี้เลยหรือไม่ หากว่าจะมีการลดดอกเบี้ยจริง ก็จะหนุนให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามายังตลาดทุนไทยได้มากขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในวันนี้มาจาก 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ 1. ค่าเงินดอลลาร์ มีการปรับฐานอ่อนตัวลง ด้วยโมเมนตัมการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 นี้ และ 2. GDP ไทยค่อนข้างมีศักยภาพ ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/67 ออกมาเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
อีกทั้งด้วยผลทางการเมืองที่มีความชัดเจน ช่วยกระตุกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้ ประกอบกับด้วยมูลค่าหุ้น (Valuation) ในดัชนีระดับ 1,200-1,300 กว่าๆ อยู่ในระดับที่ไม่แพง และเป็นโอกาสในการซื้อสะสมโดยเฉพาะหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) เนื้องจากที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันมามาก จากผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาท ซึ่งตอนนี้ราคาเริ่มกลับมาดูมีความหวังมากขึ้น
ทางฝ่ายมีมุมมองเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น จำนำทะเบียนรถ MTC ที่ปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่ให้กับกลุ่มรากหญ้า คุณภาพสินทรัพย์ดี เป็นอีกหุ้นที่เรียกได้ว่าปลอกภัย และหุ้นเรียกเก็บหนี้ JMT ซึ่งราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในโซนล่าง และ SINGER เพราะเป็นทั้งค้าปลีกที่เจาะลึกลงระดับอำเภอและตำบล รวมถึงบริษัทลูกที่ปล่อยสินเชื่อ
หุ้นค้าปลีก แนะนำ CPALL ผลการดำเนินงานครึ่งแรกปีทำกำไรสูงกว่า 6,000 ล้านบาท แม้ไตรมาส 3/67 จะไม่ใช่ไฮซีซัน แต่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ความต้องการบริโภค, หุ้นกลุ่มธนาคาร แนะนำ KBANK เพราะมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี NPL ในไตรมาส 2/2567 สามารถรักษาระดับได้ดีใกล้เคียงเดิม รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นฐานของรายย่อย SMEs
หุ้นกลุ่มรับเหมา ได้รับอานิสงส์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และการเปิดประมูลงานโครงการใหม่ๆ ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 อีกทั้ง บริษัทย่อย BEM และ CKP ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ค่อนข้างดีในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกด้วย
และกลุ่มสุดท้าย หุ้นโรงพยาบาล แนะนำ BH เพราะมีจุดแข็งคือความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางในหลากหลายสาขา แม้ว่าการที้ทางคูเวตไม่ส่งคนไข้เข้ามายังในประเทศไทย แต่เชื่อท้ายที่สุดแล้วคนไข้กลุ่มนี้จะกลับมา เพราะความสามารถทางการรักษา ความเชี่ยวชาญ คุณภาพ และค่าบริการที่เทียบกับต่างประเทศแล้วไทยเราถูกกว่ามาก
กรอบดัชนีในวันที่ 22-23 ส.ค.2567 คาดว่าแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1,325 จุด ขณะที่แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,350 จุด หากว่าไปต่อได้จะไปถึงระดับ 1,370-1,380 จุด อย่างไรก็ดีในช่วง 1,370 จุด อาจต้องระมัดระวังหน่อย เพราะมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับฐานหลังจากที่เป็นขาขึ้นมาหลายวัน