ครึ่งหลังปีนี้ ลุ้นเงินบาทแข็งค่าแตะ 32 บาท หนุนหุ้นการบิน-โรงไฟ้า-พลังงาน

27 ส.ค. 2567 | 05:33 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ส.ค. 2567 | 05:33 น.

โบรกมองค่าเงินบาทช่วงครึ่งหลังปี 67 มีลุ้นย่อตัวแตะระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ แม้ในระยะสั้นอาจเห็นการดีดตัวไปอยู่ที่ระดับ 34.5 บาท/ดอลลาร์ ส่องหุ้นรับอานิสงส์สตอรี่บาทแข็ง COCOCO-CPF ขณะที่บล.ดาโอ มอเงินบาทแข็งค่าเป็นบวก หนุนหุ้นการบิน-โรงไฟ้า-พลังงาน

ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ ในวันนี้ 27 ส.ค. 2567 ณ เวลา 12.11 น. อยู่ที่ระดับ 34.020 บาท เพิ่มขึ้น 0.017 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 0.05% ในช่วงระหว่างวันค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดอยู่ที่ระดับ 34.097 บาท/ดอลลาร์ ก่อนที่จะย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 33.980 บาท/ดอลลาร์ จากเมื่อวันจันทร์ที่ 26 ส.ค. 2567 ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.980 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าค่าเงินบาทกับตลาดหุ้นไทยนั้นมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากหากเงินบาทแข็งค่า นักลงทุนจากทั่วโลกก็จะหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เมื่อกระแสเงินลงทุนกลับมายังตลาดหุ้นไทยก็จะไปหนุนให้ดัชนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติได้รับไปแบบกำไร 2 ต่อ คือ กำไรจากการแข็งค่าของเงินบาท และกำไรจากการปรับขึ้นของราคาหุ้น

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินทิศทางค่าเงินบาทในระยะสั้นมองว่าระหว่างทางอาจมีการดีดตัวขึ้นมาบ้างที่ระดับราว 34.50 บาท/ดอลลาร์ แต่คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2567 นี้ มีโอกาสที่จะเห็นค่าเงินบาทย่อตัวลงมาแตะที่ระดับแนวรับ 32.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดแนวรับที่มีนัยสำคัญ

หลายคนอาจมีความกังวลใจมองว่าการแข็งค่าของเงินบาทนั้น จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหรือหุ้นที่มีเกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ส่วนตัวมองว่าอาจไม่ได้กระทบหนักหนาขนาดนั้น และเชื่อว่าแต่ละบริษัทจะมีวิธีการบริหารจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว

สำหรับหุ้นที่มีความน่าสนใจและคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่า ได้แก่ COCOCO เนื่องจากแนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการขยายตลาด และผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง

และหุ้นอีกตัวหนึ่งที่มองว่ามีความน่าสนใจ ได้แก่ CPF เนื่องจากราคาเนื้อหมูที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน และดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน รวมถึงความต้องการบริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นซึ่งได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัว

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 25 ส.ค. 2567 ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.91 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าเมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2567 ที่อยู่ที่ 36.98 บาท/ดอลลาร์ และเป็นการแข็งค่ามากสุดในรอบ 13 เดือน

เป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า เนื่องจากตลาดมองว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หรือมากกว่าที่คาดการ์ไว้ โดยเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือน ก.ย. 2567 นี

อีกทั้งยังมีปัจจัยเฉพาะของไทย เช่น จากการที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกทองคำค่อนข้างมาก และความชัดเจนทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้ภาพรวมดูมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวใกล้เคียงภูมิภาค

ทั้งนี้ ทางฝ่ายมองว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเงินบาทกลับมาแข็งค่าและมีโอกาส outperform SET ได้มากสุด ประกอบด้วย

  • AAV แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 3.20 บาท มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายเป็น USD ราว 60% และมีหนี้เป็น USD ราว 1 พันล้าน USD ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่แข็งค่าจะมี FX gain ราว 1 พันล้านบาท อีกทั้งยังได้ผลบวกจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไร ไตรมาส 3/2567 จะยังโดดเด่น แม้เป็นช่วง low season
  • GULF แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 60.00 บาท เพราะมีหนี้สกุล USD ราว 1.7 พันล้านเหรียญฯ ทำให้เกิด unrealised FX gain ราว 1.7 พันล้านบาท หากค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ในขณะที่แนวโน้มผลประกอบการปกติในช่วงครึ่งหลังปี 2567 คาดโตได้เมื่อเทียบจากช่วงครึ่งแรกปีนี้จากการ COD โครงการใหม่เพิ่มเติม
  • TOP แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 65.00 บาท มีหนี้สกุล USD 67% ของหนี้ทั้งหมด โดยมีหุ้นกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ที่ 480 ล้านเหรียญฯ ทำให้ประเมินว่าทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะมี Fx gain ประมาณ 480 ล้านบาท (ไม่รวมผลกระทบจากการทำประกันความเสี่ยง (hedging) และ natural hedge) ประกอบกับคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2567 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ฟื้นตัว และพรีเมียมน้ำมันดิบ (crude premium) ที่ลดลง

นอกจากนี้ จากสถานการณ์ “ค่าเงินบาทแข็งค่า” ยังส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมและหุ้นอื่นๆ อีก อาทิ

  1. กลุ่มสายการบิน AAV, BA มีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ราว 60% ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ต้นทุนลดลง, สำหรับ AAV มีหนี้เป็น USD ราว 1 พันล้านเหรียญ ทำให้จะมี unrealized FX gain ราว 1 พันล้านบาท จากทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า
  2. กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้มีการบันทึก unrealized fx gain เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด ทั้งนี้หุ้นที่มี impact จากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC, RATCH, GUNKUL
  3. กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี Positive net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาทจากการมีเงินกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fx gain สำหรับ TOP PTTGC ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ USD เป็น functional currency
  4. กลุ่ม IT Distributor SYNEX, SIS เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าโดยใช้เงิน USD ค่าเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลดีด้านต้นทุน

ในขณะเดียวกันทางฝ่าบคาดว่าหุ้นที่จะเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า และมีโอกาส underperform SET ได้แก่ AAI แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 9.50 บาท, ITC แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 30.00 บาท, MEGA แนะนำถือ ประเมินราคาเป้าหมาย 44.00 บาท และ TU แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 18.50 บาท