โบรกมอง SET Index แกว่งขึ้น กรอบ 1,475-1,500 จุด ชู BCH เด่น

17 ต.ค. 2567 | 03:29 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ต.ค. 2567 | 03:29 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ ส่องวันนี้ 17 ต.ค.67 SET Index “แกว่งขึ้น” วางกรอบ 1,475-1,500 จุด หลังกนง. ลดดอกเบี้ยสวนคาด กระตุ้นแรงเก็งตลาดหุ้นไทยมากขึ้น พร้อมติดตามประชุม ECB คาดลดดอกเบี้ย 0.25% กลยุทธ์แนะทยอยสะสมหุ้นแนวโน้มกำไรดี สำหรับวันนี้แนะนำ BCH

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ 17 ต.ค.67 ว่า คาด SET Index วันนี้ “แกว่งขึ้น” ในกรอบ 1,475-1,500 จุด ไหลขึ้นต่อเนื่องหลังจากวานนี้ (16 ต.ค.67) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงสู่ 2.25%

สวนกับตลาดที่คาดว่าในครั้งนี้จะคงอัตราดอกเบี้ย โดย กนง. มองว่าเป็นการช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง ขณะที่ภาพเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวใกล้เคียงคาด โดยประเมิน GDP ไทยปีนี้ที่ 2.7% และปี 68 ที่ 2.9% มีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผสานกับการส่งออกที่ดีขึ้น ตามความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยคาดเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ที่ +0.5% และปีหน้าที่ +1.2% สรุปถือเป็น Positive Surprise หนุนแรงเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น โดยกลยุทธ์ทางฝ่ายยังแนะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ที่อิงการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ

ส่วนวันนี้ติดตามการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยคาดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ เงินฝาก และรีไฟแนนซ์ สู่ระดับ 3.65%, 3.25%, 3.4% ตามลำดับ สอดคล้องกับทิศทางเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอต่อเนื่อง โดยคาดจะส่งผลให้ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบดอลลาร์ในระยะสั้น

ส่วนฝั่งสหรัฐฯ คืนนี้จับตาตัวเลขยอดค้าปลีก เดือนก.ย. คาดขยายตัว 0.3% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์คาดขยับขึ้นเล็กน้อยราว 2.6 แสนราย  

หุ้นเด่นแนะนำ

BCH ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 23.90 บาท ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดตอบรับปัจจัยความกังวลต่างๆ ไปมากแล้ว ในช่วงถัดไปคาดปลดล็อกในเชิงบวก จากทั้งประเด็นคูเวต ที่เชื่อว่ามีโอกาสจะได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลที่คูเวตจะส่งผู้ป่วยมารักษา เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านรักษาโรคเบาหวาน ผสานกับประเด็นประกันสังคม ที่ล่าสุดมีการตั้งอนุกรรมการฯ (เฉพาะกิจ) เพื่อทบทวนหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ โดยจะต้องเสร็จสิ้นใน 90 วัน ซึ่งจะเริ่มประชุมนัดแรก 17 ต.ค.

WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV โดยบริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.

SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 

BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ขณะที่ภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69

AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ขณะที่ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ด้าน Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ

ปัจจัยที่ต้องจับตา

17 ต.ค.      ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานราย
                  สัปดาห์สหรัฐฯ, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐ, 
                  การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB), ดัชนี CPI ของยูโรโซน,
                  ยอดส่งออกญี่ปุ่น, สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ 
18 ต.ค.      ยอดสร้างบ้านสหรัฐฯ, ใบอนุญาตการก่อสร้างสหรัฐฯ, 
                  ดัชนี CPI ของญี่ปุ่น, GDP ไตรมาส 3/67 ของจีน, 
                  ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีน, ยอดค้าปลีกจีน