ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ไตรมาส 3/67 ธนาคารมีกำไรสุทธิ จำนวน 12,476.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 11,349.91 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 67 ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 34,806.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 32,772.71 ล้านบาท
โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 4.4% จากการบริหารจัดการสภาพคล่องของธนาคาร และอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิกับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.05%
ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยงวด 9 เดือนแรกปี 67 นี้ เพิ่มขึ้นจากรายได้จากากรลงทุนตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี
ในส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาด โดยที่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 46.3%
ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 3/67 ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับ 9 เดือนแรกปีนี้ มีจำนวน 27,204 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนก.ย.67 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,638,697 ล้านบาท ลดลง 1.2% จากสิ้นปีก่อน โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ยังคงมีการเติบโต สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.4% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 266.6 เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
ด้านเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนก.ย. 67 จำนวน 3,109,982 ล้านบาท ลดลง 2.3% จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.8%
สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 20.8%, 17.4% และ 16.6% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด