Liberator ชี้ ตลาดหุ้นไทยวันนี้ Sideways กรอบ 1,450-1,470 จุด

25 ต.ค. 2567 | 02:41 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ต.ค. 2567 | 02:41 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ SET วันนี้ 25 ต.ค.67 Sideways ในกรอบ 1,450-1,470 จุด ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง ผสานกำไรกลุ่ม MAG7 ยังเด่น กระตุ้นจิตวิทยาบวก กลยุทธ์เน้นย่อตั้งรับ ไม่ไล่ราคา เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรดี และมีปัจจัยหนุน วันนี้ แนะนำ BCH

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ 25 ต.ค.67 คาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,450-1,470 จุด โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา สหรัฐฯ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง นำโดย

  1. ยอดขายบ้านใหม่ เดือน ก.ย. ขยายตัว 4.1% จากเดือนก่อน สู่ระดับ 7.38 แสนยูนิต ดีกว่าคาดที่ 7.2 แสนยูนิต
  2. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ที่ 2.27 แสนราย น้อยกว่าคาดที่ 2.42 แสนราย
  3. PMI ภาคการผลิต ต.ค. เพิ่มสู่ 47.8 จาก 47.3 และดีกว่าคาดที่ 47.5 จุด
  4. PMI ภาคบริการ เพิ่มสู่ 55.3 จาก 55.2 ดีกว่าคาดที่ 55.0 จุด ส่วนคืนนี้ติดตาม คำสั่งซื้อสินค้าคงทน US และดัชนีความเชื่อมั่นจาก ม.มิชิแกน

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯยังได้แรงหนุนจาก Tesla ที่ปรับขึ้นเด่นกว่า 22% ขานรับรายงานกำไรที่แข็งแกร่ง และประเมินการเติบโตของยอดขายรถปีหน้าที่ระดับ 30% ช่วยหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 (MAG7) เดินหน้าทำจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน กระตุ้นโมเมนตัมบวกมากยิ่งขึ้น หนุน S&P500 และ Nasdaq วานนี้ (24 ต.ค.67) ปิดแดนบวก

ตลาดหุ้นเอเชีย วันนี้แนะติดตามการรายงานดัชนีเงินเฟ้อ CPI เดือน ต.ค. ของญี่ปุ่น คาดที่ เติบโต 1.8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ชะลอตัวจากเดือน ก.ย. ที่ ปรับเพิ่มขึ้น 2.1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยล่าสุดด้าน BOJ ส่งสัญญาณว่าในการประชุม BOJ สัปดาห์หน้า (31 ต.ค.) จะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินเยนในระยะสั้นมีแนวโน้มอ่อนค่า

ส่วน SET ยังอยู่ในช่วงการสร้างฐาน (แนวรับสำคัญ 1450) เน้นย่อตั้งรับ ไม่ไล่ราคา แนะกลุ่มที่แนวโน้มกำไรดี และเกาะติดรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นสำคัญ 

ปัจจัยที่ต้องจับตา

25 ต.ค.     ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน สหรัฐ, 
                ดัชนีความเชื่อมั่นจาก ม.มิชิแกน
                 เงินเฟ้อญี่ปุ่น

หุ้นแนะนำ

  • BCH ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 23.90 บาท ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดตอบรับปัจจัยความกังวลต่างๆ ไปมากแล้ว ขณะที่ในช่วงถัดไปคาดปลดล็อกในเชิงบวก จากทั้งประเด็นคูเวต ที่เชื่อว่ามีโอกาสจะได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลที่คูเวตจะส่งผู้ป่วยมารักษา เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านรักษาโรคเบาหวาน ผสานกับประเด็นประกันสังคม ที่ล่าสุดมีการตั้งอนุกรรมการฯ (เฉพาะกิจ) เพื่อทบทวนหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ โดยประชุมนัดที่ 2 ในวันที่ 29 ต.ค. นี้
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ขณะที่ภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้ จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ขณะที่ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน 
  • ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท ขยายตัว 58% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 1% จากไตรมาสก่อน ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้