นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ 30 ต.ค.67 ว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) วันนี้แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,430-1,460 จุด อยู่ในช่วงของการสร้างฐาน
โดยวานนี้สหรัฐฯ รายงานตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (Job Openings) ประจำเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 7.44 ล้านตำแหน่ง ลดลงจากเดือน ส.ค. ที่ 7.86 ล้านตำแหน่ง และต่ำกว่าคาดที่ 8.0 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนภาพแรงงานในระยะสั้นอ่อนแอลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดหากพิจารณาเครื่องมือ Fed Watch Tool บ่งชี้โอกาสที่เดือน พ.ย. FED จะลดดอกเบี้ย 0.25% ด้วยความน่าจะเป็น 96.5% เร่งขึ้นจากวันก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 95.2% รวมทั้งช่วยกระตุ้นแรงซื้อกลับในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมากยิ่งขึ้น (Nasdaq ทำจุดสูงสุดใหม่)
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจคืนนี้ที่น่าติดตาม นำโดย การจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP เดือน ต.ค. คาดที่ 1,1 แสนตำแหน่ง ส่วนด้าน US GDP ไตรมาส 3/67 คาดทรงตัวที่ระดับ +3.0% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ Eurozone GDP ไตรมาส 3/67 คาดทรงตัวที่ +0.2% จากไตรมาสก่อน และ +0.8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ภาพรวม SET ยังอยู่ในโซนของการปรับฐาน แต่เชื่อว่า Downside ไม่มากนัก เนื่องจากยังคงมีแรงพยุงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐฯ ที่คาดจะออกมาในช่วงปลายปี ดังนั้น กลยุทธ์ มองการย่อของดัชนีเป็นโอกาสในการทยอยสะสม โดยจะเน้นหุ้นที่คาดหวังผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีสตอรี่บวก และมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับที่ดี
30 ต.ค. MPI ของไทย, จ้างงานภาคเอกชนจาก ADP,
ไตรมาส 3/67 สหรัฐฯ GDP, ไตรมาส 3/67 ยูโรโซน GDP,
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน
31 ต.ค. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยรายเดือน,
สหรัฐฯ Core PCE, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานราย
สัปดาห์ สหรัฐฯ, ดัชนีเงินเฟ้อ ยูโรโซน CPI,
ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่น, ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ),
PMI ภาคการผลิตและบริการของจีน
BBIK ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 58.25 บาท งานในมือ ณ สิ้น ไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 905 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงอุปสงค์ที่กำลังฟื้นกลับมาแรง ผสานกับงบประมาณภาครัฐฯปี 68 ที่จะอนุมัติในเดือน ต.ค. คาดไม่ล่าช้าเหมือนปีก่อน จะหนุนให้กำไรครึ่งปีหลังฟื้นเด่น และ Virtual Bank คาดหนุนงานในมือเพิ่มขึ้น ตอกย้ำภาพการผ่านจุดต่ำสุดในช่วง ไตรมาส 2/67 แล้ว
WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด
BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ส่วนภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้ จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ขณะที่ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล สำหรับ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโต จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง ขากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท เติบโต 58% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และโต 1% จากไตรมาสก่อน ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้