ตามปกติแล้วในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีจะเป็นไฮซีซันของภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการอุปโภค-บริโภคอย่างกลุ่มค้าปลีก ศูนย์การค้าต่างๆ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ด้วยปลายปีจะมีการจัดอีเว้นท์และการหยุดยาวช่วงเทศกาลจำนวนมาก หนุนให้ความต้องการการบริโภคมีการขยายตัวที่สูงขึ้น
อีกทั้ง จากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมและการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของต่างชาติมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในปลายปี 67 นี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-27 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมอยู่ที่ 28,378,473 คน
ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,325,359 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 5,660,242 คน มาเลเซีย 4,064,278 คน อินเดีย 1,684,703 คน เกาหลีใต้ 1,506,923 คน และรัสเซีย 1,267,998 คน
นอกจากนี้ ยังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรปและสหรัฐฯ ประกอบกับว่ามาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล จะช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้นในปลายปีนี้
โดยเหล่านักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ก็มีความคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสิ้นปี 67 จะทำได้ดีตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน แม้ว่าในช่วงไตรมาส 3/67 ที่ผ่านมายอดนักท่องเที่ยวจะชะลอตัวลงไปบ้างตามโลวซีซัน เชื่อว่าการเติบโตของนักท่องเที่ยวในปีนี้ยังทำได้ดี และในปี 68 จะกลับมาขยายตัวได้ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดไวรัสโควิด-19 ที่ราว 39.9-40 ล้านคน
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดผยว่า มองว่าในช่วงไตรมาส 4/67 นี้ มองว่าการท่องเที่ยวจะมีการเติบโตที่ดีกว่าทั้งจากเทียบช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเป็นไฮซีซันการท่องเที่ยว
แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มที่อัตราการใช้จ่ายต่อหัวที่สูงอย่างกลุ่มยุโรปและสหรัฐฯ จะเดินทางเข้ามาพักผ่อนที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้คาดว่าจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มธุรกิจการบิน โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อ AAV มากกว่ากลุ่มการบินตัวอื่นๆ รวมถึงกลุ่มโรงแรม
เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 ที่จะออกมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้ง ในช่วงครึ่งหลังปี 67 มีการขยายเส้นทางการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มเที่ยวบินที่มากขึ้น เพื่อรองรับความต้อการเดินทางได้ดียิ่งขึ้นในปลายปีนี้ ราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นผลดีต่อต้นทุนและกำไร
คาดว่าผลประกอบการของ AAV ในไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.65 พันล้านบาท ดีขึ้นอย่างมาก จากขาดทุนสุทธิ 1.69 พันล้านบาทในไตรมาส 3/66 และกำไรสุทธิเพียง 84 ล้านบาทในไตรมาส 2/67 แต่หากตัดกำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนเกือบ 4.3 พันล้านบาทออกไป คาด AAV จะมีกำไรปกติ 271 ล้านบาทในไตรมาส 3/67 ดีขึ้นจากขาดทุนปกติ 802 ล้านบาทในไตรมา 3/66 แต่ลดลงจากกำไรปกติ 310 ล้านบาทในไตรมาส 2/67
ตามปกติแล้วในไตรมาส 3 ของทุกปีมักจะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการชะลอตัวมากที่สุดในรอบปี แต่ในรอบนี้จะได้แรงหนุนจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนก้อนใหญ่ ซึ่งเกิดจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.3 บาท/ดอลลาร์ฯ ในไตรมาส 3/67 ทั้งนี้ Thai Air Asia (TAA) รักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศเอาไว้ได้ที่ 40% สิ้นไตรมาส 2/67
โดยมีจำนวนผู้โดยสาร 3.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศอยู่ที่ 1.8 ล้านคน ขณะที่ load factor อยู่ที่ 84% เมื่ออิงตามสถิติการดำเนินงานเบื้องต้นของบริษัทในไตรมาส 3/67 จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 4.89 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.2% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 1.7% จากไตรมาสก่อน
และจำนวนเที่ยวบินอยู่ที่ 29,655 เที่ยว เพิ่มขึ้น 6.4% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่ Load factor จากเครื่องบินที่มีการใช้งานอยู่ที่ 90% ซึ่งทรงตัวจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่หดตัว 1.1ppts จากไตรมาสก่อน
ทางฝ่ายคาดว่ายอดขายของ AAV ในในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 1.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 4.0% จากไตรมาสก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 13.0% จาก 0.3% ในไตรมาส 3/66 และ 13.1% ในไตรมาส 2/67
สำหรับกำไรสุทธิของ AAV ในช่วง 9 เดือนแรกปี 67 จะอยู่ที่ 3.32 พันล้านบาท ดีขึ้นจากที่ขาดทุนสุทธิ 2.35 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกปี 66 นอกจากนี้ เราคาดว่ากำไรปกติในช่วง 9 เดือนแรกปี 67 จะอยู่ที่ 1.31 พันล้านบาท จากที่ขาดทุนปกติ 593 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกปี 66
ตามปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 67 ขึ้นอีก 25.4% และปี 68 ขึ้นอีก 14.5% เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกปี 67 และแนวโน้มระยะต่อไป คิดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ AAV จะออกมาแข็งแกร่งกว่าประมาณการเดิมของทางฝ่าย เพราะไตรมาส 4/67 จะเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวแข็งแกร่งตามฤดูกาล
ดังนั้น ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นจากการ
ตามผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำซื้อ โดยขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 68 ขึ้นเป็น 3.60 บาท
ทางด้าน บล. ดาโอ (ประเทศไทย) เผยมุมมองต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นกลางต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ทรงตัว 14-20 ต.ค. 67 ที่ทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจีน, อินเดีย, รัสเซียปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรวมจะทำได้แค่ทรงตัวเพราะนักท่องเที่ยวมาเลเซียปรับตัวลดลง
โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย และจะเริ่มมากขึ้นอีกในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 67 ที่มีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 67 ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินไว้
โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT และ SHR
คงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 67 เพิ่มขึ้น 21% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และนักท่องเที่ยวจีน เติบโต 84% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 67 จะอยู่ที่ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 84% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุนเป็นเท่ากับตลาด โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวที่ยังชอบ AAV, AOT และ MINT เป็นต้น