SET แกว่งกรอบ 1,450-1,480 จุด ลุ้นบทสรุปเลือกตั้งสหรัฐฯ

05 พ.ย. 2567 | 03:32 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2567 | 03:32 น.

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ 5 พ.ย.67 แกว่ง Sideways ในกรอบ 1,450-1,480 จุด ตลาดยังรอคอยความชัดเจนเลือกตั้งสหรัฐฯ รวมถึงการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ แนะกลยุทธ์เน้นตั้งรับหุ้นพื้นฐานดีอิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม แนะนำ CPALL

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ 5 พ.ย.67 ว่า เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่ทั่วโลกรอคอย คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง โดนัล ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน และ กมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรเดโมแครต

โดยล่าสุดพบว่าคะแนนความนิยมของทั้งคู่ค่อนข้างสูสีกันมาก ดังนั้น คงต้องติดตามผลการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกันกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ด้วย เนื่องจากหากพรรคไหนได้ครองเสียงข้างมากในทั้งสภาสูง และสภาล่าง ก็จะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆ ในระยะสั้น พบว่า ตลาดหุ้นมีแรงขายลดความเสี่ยงบ้าง ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง ส่วนด้านค่าเงินพบว่า Dollar Index ย่อลงต่ำกว่าระดับ 104 เล็กน้อย เช่นเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล US อายุ 10 ปี วานนี้ (4 พ.ย.67) ปิดลดลง -9.9bps

ด้านราคาทองคำเริ่มแกว่ง Sideways ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนล่าสุดจากการที่ OPEC เลื่อนระยะเวลาการปรับเพิ่มกำลังการผลิตออกไปก่อน 

สำหรับตลาดหุ้นไทย อยู่ในช่วงการรอความชัดเจนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จึงทำให้ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง แต่อย่างไรก็ดีทางฝ่ายยังมองเป็นจังหวะที่ดีในการย่อตั้งรับหุ้นพื้นฐานดี เพื่อรอการฟื้นตัวในช่วงถัดไปตอบรับภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในช่วงขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงส่งท้ายปีน่าจะเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติม

ปัจจัยที่ต้องติดตาม 

05 พ.ย.      เลือกตั้งสหรัฐฯ, ดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ, 
                  ดัชนี Caixin PMI ภาคบริการของจีน
06 พ.ย.      เงินเฟ้อไทย CPI, ดัชนี PMI ภาคบริการ สหรัฐฯ & 
                  ญี่ปุ่น, PPI ยูโรโซน, ยอดค้าปลีกของยูโรโซน, 
                  สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ สหรัฐฯ

หุ้นเด่นแนะนำ

  • CPALL ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80.00 บาท คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้ม ไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV ประกอบกับบริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • SGC ประเมินราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 69 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ส่วนประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ขณะที่ภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ส่วน Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท เติบโต 58% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และขยายตัว 1% จากไตรมาสก่อน ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วง ไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้