Liberator ชี้ SET วันนี้ผันผวนกรอบ 1,450-1,480 จุด ตามชัยชนะของริพับลิกัน

07 พ.ย. 2567 | 03:04 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2567 | 03:04 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ SET วันนี้ Sideways กรอบ 1,450-1,480 จุด ชัยชนะของริพับลิกันทั้งประธานาธิบดี, สภาสูง และสภาล่าง หนุนดอลลาร์แข็งค่าแรง กดดันค่าเงินเอเชียสั้น

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ 7 พ.ย.67 คาด SET Index แกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,450-1,480 จุด หลังได้บทสรุปชัยชนะของริพับลิกันทั้งประธานาธิบดี, สภาสูง และสภาล่าง หนุน Dollar แข็งค่าแรง กดดันค่าเงินเอเชียสั้น

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของริพับลิกัน ซึ่งนายโดนัล ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรคริพับลิกัน ได้รับคะแนน Electoral vote 295 เสียง สูงกว่า กมลา แฮร์ริส ที่ได้เพียง 226 เสียง โดยทรัมป์ สามารถเอาชนะได้ทั้ง 7 รัฐ Swing states

ส่งผลให้ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทางด้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาสูง และสภาล่าง พบว่าพรรคริพับลิกัน ก็สามารถเอาชนะ ครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา ซึ่งบทสรุปแบบนี้จะทำให้พรรคริพับลิกันสามารถที่จะขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ออกมาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ชัยชนะของริพันลิกัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นเด่น เพราะมีความคาดหวังจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ขณะที่ประเด็นการเพิ่มภาษีสินค้าจีน ก็อาจจะกระตุ้นให้เงินเฟ้อมีโอกาสขยับเพิ่มมากขึ้น

จุดนี้ส่งผลให้โอกาสการปรับลดดอกเบี้ย FED ในปี 68 มีโอกาสที่จะน้อยกว่าที่ตลาดเคยคาดหวังไว้ (ส่วนคืนนี้คาด FED ยังลด 0.25%) และกระตุ้นให้ Dollar Index แข็งค่าขึ้นเด่น (ล่าสุดทะลุ 105 จุด) รวมทั้ง US bond Yield ที่จะปรับขึ้นด้วย ส่วนด้านจีน อาจได้ผลกระทบเชิงลบจากนโยบายของสหรัฐฯ

ขณะที่เอเชียอาจมีแรงกดดันบ้าง จากค่าเงินที่มีโอกาสอ่อนค่า (ค่าเงินบาทอ่อนสู่ระดับ 34.2 บาทต่อดอลลาร์) อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดหุ้นไทยอาจผันผวนสั้น โดยมองจังหวะย่อเป็นโอกาสสะสมเน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น นิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA) และกลุ่มส่งออก (CCET, CBG) 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

07 พ.ย.      ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED), 
                  ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE),
                  ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ, 
                  ตัวเลขส่งออกจีน
08 พ.ย.      ดัชนีความเชื่อมั่นสหรัฐฯ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

หุ้นเด่นแนะนำ

  • AMATA ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 32.00 บาท คาดกำไรไตรมาส 3/67 เติบโตเด่นทั้งจากไตรมาสก่อน จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แรงหนุนจากการโอกาสที่ดินที่เร่งตัวขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดสูงขึ้น อีกทั้งยอดขายที่ดินก็มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นดี จากลูกค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์เป็นหลัก สำหรับภาพระยะกลางยังรับอานิสงส์เชิงบวกจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่อาจรุนแรงขึ้น ส่งผลให้การย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ไทยจะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV โดยบริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ส่วนภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้ จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ทั้งนี้ ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ขณะที่ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
  • ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท เติบโต 58% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้