นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ผู้นำธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรและอัญมณี รวมทั้ง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นที่มีบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะสามเดือนในไตรมาสที่ 4/67 (ต.ค.-ธ.ค.) ปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3/67 จากระดับ 68.50 จุด มาอยู่ที่ระดับ 69.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.58 จุด หรือคิดเป็น 0.84%
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นมานั้น ได้แก่ เงินทุนไหลออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย การอ่อนค่าของเงินบาท ทิศทางราคาน้ำมัน และแรงซื้อเก็งกำไรของกองทุน ทำให้มองว่าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ให้มีการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง
โดยข้อมูลอุตสาหกรรมราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ในเดือนกันยายน 2567 อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ เคลื่อนไหวต่ำสุดบาทละ 39,950 บาท ต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และเคลื่อนไหวสูงสุด บาทละ 41,200 บาท ต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ ด้านส่วนต่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดอยู่ที่ 1,250 บาท หรือคิดเป็น 3.03% โดยราคาปิด ณ สิ้นเดือน กันยายน 2567 อยู่ที่บาทละ 40,400 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ
ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ในไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.7% เมื่อปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขยายฐานลูกค้าผ่านการเปิดสาขาใหม่ และราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้ง การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยจากการขายฝาก ส่งผลให้ในไตรมาส 3 ปีนี้มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ
แม้โดยปกติจะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ และมีความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนการเมืองในหลายประเทศ แต่ทองคำยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีศักยภาพในการสร้างกำไรในอนาคต
โดยปัจจัยต่างๆ นี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้การขายลดลง แต่ในทางกลับกันการรับซื้อทองคำยังอยู่ในระดับที่ดี ด้านรายได้รวมอยู่ที่ 7,891.4 ล้านบาท เพิ่นขึ้น 17.5% จากการขยายตัวของธุรกิจผลิตภัณฑ์ทองรูปพรรณที่มีส่วนประกอบของทองคำบริสุทธิ์ 96.5% หรือ Modern Gold ทั้งจากยอดขายจากสาขาเดิม และการขยายสาขาใหม่ รวมถึงรายได้จากดอกเบี้ยขายฝากที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของลูกหนี้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 10.5% ซึ่งแสดงถึงการบริหารจัดการต้นทุนราคาทองคำอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 67 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีรายได้รวม 23,564.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11.5% เพิ่มขึ้นจาก 9.4% ในปีก่อน และด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 824.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.5% จากการขายสินค้าของธุรกิจ Modern Gold และธุรกิจขายฝาก Gold Financing Business อีกทั้ง ยังนับเป็นการเติบโตในระดับใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งมีกำไรสุทธิเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนในระดับ 32.7%
สำหรับโครงสร้างรายได้จากการดำเนินงาน ในไตรมาส 3/67 แบ่งเป็น รายได้จากการขายสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องประดับทองรูปพรรณที่มีส่วนประกอบของทองคำบริสุทธิ์ 96.5% (Modern Gold) มีสัดส่วนรายได้ 93% เป็นรายได้หลักของบริษัท นอกจากนี้ ธุรกิจขายเครื่องประดับเพชร และ Design Gold เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 5% และรายได้ดอกเบี้ยรับจากธุรกิจขายฝากทองหรือเครื่องประดับเพชร ภายใต้แบรนด์ ทองมาเงินไป (Gold Financing Business) มีสัดส่วนรายได้ 2%
"แม้สัดส่วนรายได้ของแบรนด์ "ทองมาเงินไป" ยังไม่สูงนัก แต่ก็เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก และมีการเติบโตในระดับสูง ณ สิ้นไตรมาส 3/67 ที่มีพอร์ตลูกหนี้รับขายฝากคงเหลืออยู่ที่ 4,212 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยขายฝากที่แท้จริง 13.8% ใกล้เป้าหมายทั้งปีที่วางไว้จะมีลูกหนี้ขายฝาก 4,500 ล้านบาท ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรับเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปีนี้เติบโตขึ้นประมาณ 80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะดีต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายปีนี้"
ในด้านช่องทางการจำหน่ายปัจจุบันมีเครือข่ายสาขา ควบคู่ช่องทางออนไลน์เสริมทัพ (Omni Chanel) โดย ณ สิ้นกันยายน 2567 มีสาขารวมอยู่ที่ 477 สาขา แบ่งเป็น ร้านทองออโรร่า และเซ่งเฮง จำนวน 258 สาขา ทองมาเงินไป 210 สาขา ออโรร่า ไดมอนด์ 7 สาขา และของขวัญ 2 สาขา เป็นต้น