Liberator ส่องตลาดหุ้นไทยวันนี้ ฟื้นตัวในกรอบ 1,440-1,465 จุด

14 พ.ย. 2567 | 03:00 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2567 | 03:01 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด SET Index วันนี้ 14 พ.ย.67 ฟื้นตัว ในกรอบ 1,440-1,465 จุด บจ. ไทยรายงานผลประกอบการดีกว่าคาด ความหวังมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า หนุนจิตวิทยาบวก มองเป็นจังหวะสะสม แนะนำ CRC

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ 13 พ.ย.67 ฟื้นตัว ในกรอบ 1,440-1,465 จุด โดยวานนี้สหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ CPI เดือน ต.ค. ขยายตัว 2.6% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เพิ่มจากเดือน ก.ย. ที่ขยายตัว 2.4% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็นไปตามคาด

โดยพบว่าราคาอาหาร บวก 0.2% จากเดือนก่อน ค่าไฟฟ้า โต 1.2% ขณะที่ราคาน้ำมันชะลอลง ส่วน US Core CPI ยังทรงตัวที่ 3.3% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามคาด โดยพบว่าราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์มือสอง, ที่อยู่อาศัย, ขนส่ง และการแพทย์ ส่วนราคาที่ชะลอลง เช่น เสื้อผ้า

จากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่ยังใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด ส่งผลให้แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯในมุมมองของตลาด ผ่านเครื่องมือ FED Watch Tool คาดหวังโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยใน เดือน ธ.ค. อีก 0.25% สู่กรอบ 4.25%-4.50% และประเมินการลดดอกเบี้ยปีหน้า อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ส่งผลให้คาดการณ์ดอกเบี้ยสหรัฐฯสิ้นปีหน้าที่กรอบ 3.75%-4.0%

ส่วนปัจจัยในประเทศ อยู่ในช่วงการผันผวนในช่วงโค้งสุดท้ายของการรายงานผลประกอบการ ซึ่งหุ้นใหญ่หลายตัวทำได้ดีกว่าคาด น่าจะช่วยกระตุ้นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนดีขึ้น ผสานกับสัปดาห์หน้า คาดตลาดจะให้น้ำหนักกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

โดยนายกฯจะมีการหารือมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อหนุน GDP เกิน 3% โดยจะมีขึ้นในวันที่ 19 พ.ย. ซึ่งมาตรการที่คาดหวัง เช่น แจกเงินดิจิทัลเฟส 2, การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน, ประเด็นการลดเงินนำส่ง FIDF ของสถาบันการเงิน เป็นต้น ดังนั้นกลยุทธ์เรายังมองเป็นจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดี ที่แนวโน้มกำไรขยายตัวเด่นในช่วงถัดไป 

ปัจจัยที่ต้องจับตา

14 พ.ย. 67

  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย, 
  • ดัชนี US PPI
  • ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
  • สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ US,
  • ดัชนี ไตรมาส 3/67 GDP ยูโรโซน, 
  • ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยูโรโซน

หุ้นเด่นแนะนำ

  • CRC ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 40.00 บาท รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 2.1 พันล้านบาท โดยหากตัดกำไรพิเศษ จากอัตราแลกเปลี่ยน และการจำหน่ายสินทรัพย์ จะมีกำไรปกติที่ 1.8 พันล้านบาท สูงกว่าตลาดคาด 26% รายได้เติบโตดีจากธุรกิจในไทย โดยมีการปรับปรุงห้างใหม่, การขยายสาขาของไทวัสดุ และ Go Wholesale ผสานการคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV อีกทั้ง บริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ขณะที่ภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ขณะที่ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และจากไตรมาสก่อน 
  • ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท โต 58% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาส ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้
  • MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 1,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โต 3% จากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ผสานกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้ Stage 2 ลดลงสู่ระดับ 8% ของสินเชื่อรวม จาก 9% ในไตรมาส 2/67 และอัตราส่วน NPL ลดลงสู่ระดับ 2.82% จาก 2.88%