ตลาดหุ้นไทยวันนี้ลุ้นฟื้นตัว กรอบ 1,430-1,450 จุด จับตาศาลรัฐธรรมนูญ

22 พ.ย. 2567 | 02:52 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2567 | 02:52 น.

คาด SET วันนี้ 22 พ.ย.67 มีลุ้นฟื้นตัว กรอบ 1,430-1,450 จุด สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ร้อนแรงขึ้น หนุนราคาน้ำมันฟื้น ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ ดี กระตุ้น DXY แข็งสุดรอบปี พร้อมติดตามศาลรัฐธรรมนูญ หากไม่รับคำร้อง จะเป็นแรงบวกต่อตลาด กลยุทธ์สะสมหุ้นกำไรเติบโตดี วันนี้แนะ “CPALL”

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ 22 พ.ย.67 คาด SET Index มีลุ้นฟื้นตัว ในกรอบ 1,430-1,450 จุด โดยมีปัจจัยจากทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ วานนี้สหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ที่ 2.13 แสนราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 2.19 แสนราย และสวนคาดของตลาดที่ 2.2 แสนราย

ทำให้ตลาดมองภาพแรงงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ล่าสุดตลาดประเมินโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. เหลือเพียง 55%  หนุนให้ Dollar Index แข็งค่าสู่ระดับ 107 จุด ใกล้เคียงจุดแข็งสุดในรอบ 1 ปี เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ 4.4% เช่นกัน

ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ของรัสเซียและยูเครน ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม โดยล่าสุดทางด้านรัสเซีย ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธวิถีโค้งรุ่นใหม่ เข้าใส่ยูเครน หลังยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธของสหรัฐฯยิงสู่รัสเซียในช่วงก่อนหน้า ดังนั้นคงต้องจับตาประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด โดยผลการตอบโต้ดังกล่าวหนุนให้ราคาน้ำมันดิบวานนี้ปรับเพิ่มขึ้น 2%

สำหรับปัจจัยในประเทศ วานนี้ SET โดนแรงกดดันหลักจากการย่อตัวของ DELTA แต่เม็ดเงินกระจายไปหุ้นพยุงหุ้น SET50 อื่นๆ เช่น กลุ่มพลังงาน, สื่อสาร ทำให้โมเมนตัมของตลาดไม่แย่นัก

ขณะที่วันนี้แนะจับตาศาลรัฐธรรมนูญ จะรับหรือไม่รับ คำร้องคดีคุณทักษิณ เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง โดยหากไม่รับคาดจะเป็นจิตวิทยาบวกต่อการฟื้นตัวของ SET และในทางกลับกัน หากรับพิจารณา จะทำให้ตลาดมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากอาจนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยได้ในช่วงถัดไป เป็นจุดที่ต้องระวัง 

ปัจจัยที่ต้องจับตา

22 พ.ย.67

  • ศาลรัฐธรรมนูญ รับ/ไม่รับ คำร้องคดีคุณทักษิณ
  • เงินเฟ้อ CPI ญี่ปุ่น
  • PMI ภาคการผลิตและบริการ สหรัฐฯ & ยูโรโซน & ญี่ปุ่น
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สหรัฐฯ

หุ้นเด่นแนะนำ

  • CPALL ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80.00 บาท คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ขยายตัวได้ทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย และฤดูท่องเที่ยว โดยล่าสุดพบว่า SSSG ในเดือน ต.ค. ของร้านสะดวดซื้อ 7-Eleven เติบโต 2-4% และ SSSG ของ CPAXT ยังเติบโต 1-3% รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นก็ยังคงขยายตัว
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV ประกอบกับบริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ขณะที่ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน 
  • ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท เติบโต 58% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 1% จากไตรมาสก่อน ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้
  • MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 1,491 ล้านบาท เติบโต 16% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อน และ15% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ผสานกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้ Stage 2 ลดลงสู่ระดับ 8% ของสินเชื่อรวม จาก 9% ในไตรมาส 2/67 และอัตราส่วน NPL ลดลงสู่ระดับ 2.82% จาก 2.88%
  • DOHOME ราคาเป้าหมาย12 บาท แนวโน้มยอดขายสาขาเดิมในช่วงเดือน ต.ค. และ พ.ย. มีทิศทางขยายตัว หนุนโอกาส SSSG ในช่วงไตรมาส 4/67 พลิกกลับมาเป็นบวก แรงหนุนจากเงินเบิกจ่ายภาครัฐฯที่กลับมาเร่งตัวขึ้น ผสานการซ่อมแซมบ้าน หลังผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงไตรมาส 3/67 อีกทั้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น กว่าในช่วงไตรมาส 3/67 จากราคาเหล็กที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ยังคงขยายตัวได้ดี โดยประเมินยอดโอนที่ดินคาดจะสูงขึ้น โดยมี Backlog ล่าสุดสูงราว 1.94 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ คาดจะหนุนโอกาสการย้ายฐานการผลิตจากจีนและไต้หวันเข้าสู่ไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณของอัตรากำไรขั้นต้นที่มีทิศทางที่ขยับสูงขึ้นเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม