Liberator ชี้ SET วันนี้ Sideways กรอบ 1,420-1,440 จุด

28 พ.ย. 2567 | 03:21 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ย. 2567 | 03:21 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ ตลาดหุ้นไทยวันนี้ 28 พ.ย.67 แกว่ง Sideways กรอบ 1,420-1,440 จุด ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง ในประเทศยังรอมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม กลยุทธ์ย่อตั้งรับหุ้นที่อิงการฟื้นของเศรษฐกิจในประเทศ วันนี้แนะนำ BCH

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ 28 พ.ย.67 คาด SET Index แกว่งตัว “Sideways” ในกรอบ 1,420-1,440 จุด โดยสัญญาณเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังมีทิศทางที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ที่ 2.13 แสนราย ต่ำคาดที่ 2.15 แสนราย

บ่งชี้แรงงานยังเด่นผสานการรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3/67 สหรัฐฯ เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการรายงานครั้งที่ 2 พบว่าขยายตัวที่ระดับ 2.8% จากไตรมาสก่อน สอดคล้องกับที่ตลาดประเมินไว้ โดยพบว่าภาคการลงทุนปรับขึ้นเล็กน้อย ส่วนการใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัว 3.5% จากไตรมาสก่อน แต่ปรับลดจากรอบแรกเล็กน้อยที่ระดับ 3.7% จากไตรมาสก่อน
 
แต่อย่างไรก็ดีในส่วนของแนวโน้มเดือน ต.ค. พบว่า US PCE ที่ 2.3% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ขึ้นจาก ก.ย. ที่ 2.1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ US Core PCE ที่ 2.8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ขึ้นจาก ก.ย. ที่ 2.7% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน สะท้อนทิศทางเงินเฟ้อที่ค่อยๆ ขยับขึ้น จุดนี้คาดเพิ่มความกังวลต่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วงถัดไป

และยิ่งไปกว่านั้นการดำเนินนโยบายของทรัมป์ในปีหน้าอาจจะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก เป็นปัจจัยกดดันการลงทุน ซึ่งมุมมองล่าสุดจาก CME Fed Watch Tool ให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. นี้อีก 0.25% ส่วนปีหน้าอาจลดลงเพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ต่ำกว่ามุมมองเฟดที่คาดลด 4 ครั้ง

ส่วนปัจจัยในประเทศ SET Index ยังย่อตัวตามแรงขายหุ้นกลุ่มที่เคยนำตลาดในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดยังรอคอยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ หรือเม็ดเงินกองทุนที่จะเข้ามาพยุงหุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ปัจจัยที่ต้องจับตา

28 พ.ย.67

  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน

29 พ.ย.67

  • รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยรายเดือน
  • เงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน & ญี่ปุ่น
  • ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ญี่ปุ่น
  • ยอดค้าปลีก ญี่ปุ่น 

หุ้นเด่นแนะนำ

BCH ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 21.90 บาท ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดตอบรับความกังวลจากทั้งเรืองความไม่แน่นอนของรายได้ผู้ป่วยโรคซับซ้อนของประกันสังคม และความไม่ชัดเจนของการส่งตัวผู้ป่วยคูเวตไปมากแล้ว ซึ่งคาดจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงเดือน ธ.ค. นี้ ขณะที่โรงพยาบาลใหม่ยังมีแนวโน้มเติบโตดี รวมถึงคลินิกรังสีเกษมราษฎร์ อารีย์ ที่ดำเนินการเต็มรูปแบบ คาดจะช่วยลดต้นทุนในการส่งต่อผู้ป่วยได้

SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 

AP ราคาเป้าหมาย 11.5 บาท คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะขยายตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ทำจุดสูงสุดของปี จากการรอโอน backlog ในไตรมาส 4 ที่สูงราว 1.18 หมื่นล้านบาท ผสานแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/67 กว่า 13 โครงการ มูลค่าราว 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนภาพปี 68 คาดกลับมาเติบโตได้ 9% Valuation ปัจจุบันเทรด PE2025 ที่เพียง 4.8 เท่า ขณะคาดอัตราปันผลสูงราว 7% ต่อปี  

DOHOME ราคาเป้าหมาย 12 บาท แนวโน้มยอดขายสาขาเดิมในช่วงเดือน ต.ค. และ พ.ย. มีทิศทางขยายตัว หนุนโอกาส SSSG ในช่วงไตรมาส 4/67 พลิกกลับมาเป็นบวก แรงหนุนจากเงินเบิกจ่ายภาครัฐฯที่กลับมาเร่งตัวขึ้น ผสานการซ่อมแซมบ้าน หลังผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงไตรมาส 3/67 อีกทั้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น กว่าในช่วงไตรมาส 3/67 จากราคาเหล็กที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV บริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.

AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ยังคงขยายตัวได้ดี โดยประเมินยอดโอนที่ดินคาดจะสูงขึ้น โดยมี Backlog ล่าสุดสูงราว 1.94 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ คาดจะหนุนโอกาสการย้ายฐานการผลิตจากจีนและไต้หวันเข้าสู่ไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณของอัตรากำไรขั้นต้นที่มีทิศทางที่ขยับสูงขึ้นเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม

MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 1,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 3% จากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ผสานกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้ Stage 2 ลดลงสู่ระดับ 8% ของสินเชื่อรวม จาก 9% ในไตรมาส 2/67 และอัตราส่วน NPL ลดลงสู่ระดับ 2.82% จาก 2.88%