SET ชี้ 4 วันทำการแรกทุนต่างชาติสถานะซื้อสุทธิกว่า 2.2 พันล้าน

08 ม.ค. 2568 | 09:53 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ม.ค. 2568 | 09:53 น.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย 4 วันทำการแรกทุนต่างชาติมีสถานะซื้อขายสุทธิกว่า 2.2 พันล้าน ชี้หลังนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์ชัดเจนการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่จะกลับมาเป็นที่สนใจในสายตาต่างชาติอีกครั้ง ด้านภาพรวมภาวะตลาดหุ้นสิ้นธ.ค.67 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 4.6 หมื่นล้าน

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของโลกในปี 68 ลงเล็กน้อย จากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการแยกตัวทางเศรษฐกิจ (Decoupling)

ที่อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความผันผวนและการเติบโตช้าลง สอดคล้องกับมุมมองธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ประชุมเมื่อกลางเดือนธ.ค. 67 แม้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% แต่ส่งสัญญาณว่าในปี 68 การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอาจจะไม่ง่ายนัก ทำให้ตลาดหุ้นกลับตอบสนองในเชิงลบในระยะสั้น

ในช่วง 3-4 วันทำการแรกของ SET Index จะเห็นว่าปรับตัวลดลง หลักๆ เป็นผลมาจากการขายออกของกองทุน LTF ที่ครบเทอม แต่มองว่าเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด และเกินกว่าครึ่งนักลงทุนยังตัดสินใจถือต่อไป ขณะเดียวกันก็ได้รับแรงหนุนจากกองทุน TESG เข้ามาช่วยชดเชยในบางส่วน

ขณะที่ทุนต่างชาตินั้น หากเทียบ 4 วันทำการแรก จะเก็นได้ว่ายังมีสถานะซื้อสุทธิที่กว่า 2,200 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นปี ดังนั้นแล้วจึงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าปี 68 นี้ทุนต่างชาติจะพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิได้หรือไม่ คงอาจต้องรอให้นโยบายของทรัมป์ฝุ่นหายตลบเสียก่อน นักลงทุนต่างชาติจึงจะเริ่มกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง
 

"SET Index ในปี 2567 ปิดในระดับที่แทบไม่แตกต่างจากปีก่อนหน้า โดยตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567  และปี 2568 ยังสามารถขยายตัวได้ดี นำโดยภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่อาจเผชิญความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น"

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 67 นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน และมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้แคมเปญ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility” แบ่งนโยบายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก รวม 11 นโยบาย น่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อหุ้นในหลาย Sector ที่เกี่ยวข้อง

ภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนธ.ค. 67 SET Index ปิดที่ 1,400.21 จุด ทำให้ช่วงครึ่งหลังของปี 67 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 7.6% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนธ.ค. 67 SET Index ปรับลดลงเพียง 1.1% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการเงิน

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 40,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% จากเดือนธ.ค. 66 เมื่อเทียบกับปี 67 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,551 ล้านบาท ลดลง 12.7% จากปีก่อน อย่างไรก็ดี เห็นสัญญาณเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด สามเดือนต่อเนื่อง

ภาวะตลาดหุ้นไทยสิ้นธ.ค.67 และปี 67

ในส่วนบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงเดือนธ.ค.67 มีจำนวน 2 หลักทรัพย์ แบ่งออกเป็น การเข้าซื้อขายใน SET จำนวน 1 หลักทรัพย์  ได้แก่ บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) และใน mai จำนวน 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) เป็นต้น

ด้าน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน อยู่ที่ระดับ 3.45% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.17%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนธ.ค. 67 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 538,570 สัญญา เพิ่มขึ้น 10.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 67 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 483,772 สัญญา ลดลง 9.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures