RS รับผู้บริหารถูกฟอร์ซเซล ฉุดราคาหุ้นดิ่ง 66.78% ย้ำไม่กระทบธุรกิจ

09 ม.ค. 2568 | 11:27 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ม.ค. 2568 | 11:27 น.

RS แจงสาเหตุราคาหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ผลเกิดจากถูกบังคับขายหุ้นจริง ย้ำธุรกรรมดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและสถานะการเงินของบริษัท

บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า จากการตรวจสอบของบริษัทฯ พบว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเกิดจากธุรกรรมทางการเงินส่วนบุคคลของผู้บริหาร ซึ่งใช้หุ้นจำนวนหนึ่งเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับธุรกรรมทางการเงินส่วนบุคคล เมื่อราคาหุ้นปรับลดลงจึงเกิดการขายหลักทรัพย์ตามเงื่อนไข (Forced sell)

ขณะที่อีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอกและกลไกตลาด ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าธุรกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน และสถานะทางการเงินของบริษัทฯ รวมทั้งไม่มีปัจจัยภายในที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และบริษัทฯ ยังเดินหน้าตามวิสัยทัศน์และแผนกลยุทธ์ที่วางไว้

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทได้ตระหนักถึงความสำคัญของเสถียรภาพในการบริหารและความมั่นคงของบริษัทฯ และอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อออกมาตรการและทบทวนนโยบายการกำกับดูแลกิจการตามหลักธรรมาภิบาล ปรับปรุงนโยบายการบริหารความเสี่ยง ผู้มีส่วนได้เสียในอนาคต รวมถึงการเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันและเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียในอนาคต

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น RS วันนี้ 9 ม.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 1.81 บาท ลดลง 0.79 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 30.38% จากราคาวันก่อนหน้า ในช่วงระหว่างวันราคาหุ้นดีดตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1.82 บาท และทำจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1.81 บาท มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 29.31 ล้านบาท

จากการเทียบสถิติในช่วง 6 วันทำการแรกนับตั้งแต่เปิดต้นปี 68 เป็นต้นมา ราคาหุ้น RS ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากราคาเปิดตลาดวันแรก (2 ม.ค.68) ที่ระดับ 5.45 บาท จนกระทั่งปิดตลาดล่าสุดวันนี้ พบว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากว่า 3.64 บาท หรือเปลี่ยนแปลง -66.78%

สำหรับข้อมูลผู้ถือหุ้นรายย่อย RS ณ วันที่ 29 มี.ค. 67 จำนวน 8,506 ราย หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ 59.69% มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 5,673.77 ล้านบาท

เทียบข้อมูล Market Cap ในช่วง 4 ปีย้อนหลัง (64-67)

  • ปี 64 อยู่ที่ 21,103.18 ล้านบาท
  • ปี 65 อยู่ที่ 15,559.95 ล้านบาท
  • ปี 66 อยู่ที่ 14,869.46 ล้านบาท
  • ปี 67 อยู่ที่ 11,893.09 ล้านบาท