นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวตอนหนึ่งในการอบรมหลักสูตร Wealth of Wisdom” หรือ “WOW ” หลักสูตรเพื่อขุมทรัพย์แห่งปัญญา จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และพันธมิตร เรื่อง “อนาคต Cypto อนาคตลงทุน”ว่าเทมาเส็ก กองทุนใหญ่ของภูมิภาค เชื่อว่าบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล คือโลกแห่งอนาคตใน 10 ปีข้างหน้า โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มนักวิเคราะห์ เทคโนโลยีบล็อกเชนมากสุด และเป็นสิ่งที่มุ่งการลงทุนมากสุด
ส่วนการลงทุนอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นยุคทองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ของภูมิภาคนี้จะไม่ถูกมองข้ามอีกต่อไป เพราะเป็นภูมิภาคที่มีความมั่นคง และสงบ ไม่มีสงคราม ไม่มีปัญหาสังคมสูงอายุ ขณะที่กองทุนใหญ่ๆของโลก มุ่งให้ความสำคัญกับบล็อกเชน เป็นอันดับแรก
“พอเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ทำให้มั่นใจในสิ่งที่บิทคับกำลังทำมากขึ้น ผมอยู่ในตลาดมา 8 ปี ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีไซเคิล ทุกครั้งที่ตลาดลง จะตามมาพร้อมข่าว แชร์ลูกโซ่ ฟอกเงิน ซื้อขายตลาดมืด แต่พอตลาดขึ้นก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง แต่สิ่งที่ทุกคนต้องแยกให้ออก คือ เสียงรบกวนระยะสั้น (Short-term Noise) กับ วิสัยทัศน์ระยะยาว ( Long Term Vision) ให้ออก ซึ่งตอนนี้คนส่วนใหญ่มองเสียงรบกวนระยะสั้น (Short-term Noise) แต่นักลงทุน เขามองออก แยกออก มองวิสัยทัศน์ระยะยาว ( Long Term Vision) มากกว่าเสียงรบกวนระยะสั้น (Short-term Noise) “
“ตัวชี้วัดสำคัญหลายตัวที่ชี้ให้เห็นเทรนด์โลกอนาคตว่ากำลังเดินไป บล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล และดิจิทัลอีโคโนมี แต่ไทยกำลังเสียงรบกวนระยะสั้น (Short-term Noise) และพยายามที่จะทำหมัน ปืที่แล้วบิทคับ จ่ายภาษีให้ประเทศ 1.6 พันล้านบาท แต่โดนอัดน่วม ขณะที่ต่างประเทศให้การต้อนรับ อยากให้บิทคับไปเปิดบริษัท ให้สิทธิประโยชน์ภาษี 0% ให้สัญชาติ รวมไปถึงพร้อมแก้กฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เพราะรู้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัล คืออนาคต
นายจิรายุส กล่าวต่อไปอีกว่า ย้อนกลับมาดูประเทศไทย เรากำลังกลัวเทคโนโลยีบล็อกเชน ดิจิทัลอีโคโนมี ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงถึง 20% ของ GDP ยังเป็น Amazing Thailand อยู่เลย เงินจากการท่องเที่ยวที่เคยได้ 2 ล้านล้านบาทต่อปี เมื่อเกิดโควิด-19 รายได้เข้าประเทศจากการท่องเที่ยวลดลงเหลือ 3 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยก็ยังเป็น ‘ดีทรอยด์แห่งเอเซีย’ เรายังเป็นเศรษฐกิจยุคเก่า แต่เมื่อเชื่อมต่อเวทีประชุมระดับโลก ที่มีผู้นำระดับโลกมาร่วมนั้นทุกเวที ชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างกำลังวิ่งไปเทคโนโลยีดิจิทัล บล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งในอนาคตไทยต้องปักธงใหม่ ต้องเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคอาเซียนให้ได้
ทั้งนี้มองว่ารัฐบาลต้องมี Connectivity ให้กับประชาชน เพื่อให้คนเข้าถึงบริการทางด้านการเงิน บริการทางด้านการศึกษาและบริการทางด้านเฮลธ์แคร์ ผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ ดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดยรัฐบาลควรให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรีเหมือนกับแสงไฟบนท้องถนน เหมือนน้ำ เหมือนอากาศที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ โดยไม่ต้องเสียเงิน และ รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนมี Digital ID ซึ่งหากบัตร ID CARD (บัตรประชาชน) ยังเป็นแบบ Physical ซึ่งเป็นบัตรแบบที่ใช้กันอย่างทุกวันนี้ก็อาจจะทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการต่างๆ เนื่องจากในต่างจังหวัดหรือพื้นที่ห่างไกลก็ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีบัตรประชาชน แตกต่างจากคนกรุงเทพฯ ดังนั้น เมื่อไม่มี Digital ID ก็จะทำให้ประชาชนยากที่จะเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานทางด้านการศึกษา เฮลธ์แคร์หรือแม้แต่บริการทางการเงินได้