พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานติดตามผลการดำเนินงานด้านการปราบปราม ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด โดยมี นายสมศักดิ์เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ร่วมแถลงผลปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.
โดย พล.อ.ประยุทธ์ฯ ได้มอบนโยบายว่า วันนี้ทุกคนคงเข้าใจแนวทางการปราบปรามยาเสพติดตามแนวคิดใหม่ ซึ่งวันนี้ตนมาติดตามดูเรื่องที่บกพร่อง เพราะส่วนตัวต้องการให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง ทั้งแผนงานงบประมาณและบุคลากรที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ซึ่งขอชื่นชมการดำเนินการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดที่สามารถทำได้รวดเร็วอย่างที่ตนต้องการโดยจะเห็นได้จากการยึดทรัพย์ของเจ้าหน้าที่ภาคต่างๆ ซึ่งถือเป็นช่องทางที่มีการเข้าออกนอกประเทศ จึงต้องเข้มงวดและดำเนินการให้เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว
"วันนี้สามารถปราบปรามได้แค่ผู้ค้ารายย่อย เพราะผู้ค้ารายใหญ่ยังติดปัญหาเรื่องการประสานงานและจับกุม ขณะที่เครือข่ายค้ายาเสพติด ก็ปรับวิธีการมากมาย"
ดังนั้นต้องติดตามดูว่า บุคคลเหล่านี้ มีทรัพย์สินยึดโยงกับใครและฟอกเงินอย่างไร หากสามารถปราบปรามได้อีก เครือข่ายก็จะหมดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องหาวิธีการอื่นเพิ่มเติมอีก เพื่อให้ทันกับเครือข่ายค้ายาเสพติดและสามารถตัดให้ครบวงจรได้ ทั้งนี้ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและมีความปลอดภัย รวมถึงการยึดทรัพย์ต้องระมัดระวังเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
" รัฐบาลไม่ก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม แต่ขอเจ้าหน้าที่ระมัดระวังเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ส่วนตน โดยหากพบ จะลงโทษอย่างหนัก"
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำอีกว่า ขอเจ้าหน้าที่รัฐ อย่าทุจริตและเห็นแก่ได้ ส่วนเครือข่ายค้ายาเสพติดที่เกี่ยวข้องกับภาคใต้ มองว่า หากสามารถกำจัดได้ จะทำให้การแก้ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย
ด้านนายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า การยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดผ่านมากว่า 3 เดือน ได้ดำเนินการตัดวงจรของเครือข่ายยาเสพติด ซึ่งไม่ใช่เป็นการตัดตอนเหมือนรัฐบาลในอดีต แต่เราใช้วิธีการให้เรียบร้อยสิ้นซาก จึงได้นำมาตรการ ยึดทรัพย์ มาดำเนินการ และที่ผ่านมาการแก้ปัญหายาเสพติด ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ปีละ 5,200 ล้านบาท แต่รัฐบาลสามารถยึดทรัพย์สินจากเครือข่ายยาเสพติด ได้เพียงปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าขาดทุน
การยึดทรัพย์ ยังได้เรียนรู้จากต่างประเทศ ที่ไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ โดยใช้วิธีการประเมินรายได้ จากการค้ายาเสพติด นอกจากนี้ มั่นใจว่าหลังจากมีการแก้กฎหมายเพิ่มรางวัลนำจับซึ่งจะมีผลในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้การยึดทรัพย์และตัดวงจรยาเสพติดทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งขอเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเพิ่มหน่วยงานภายใต้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อดูแลกระบวนการธุรกรรมทางการเงินของเครือข่ายยาเสพติดที่มีจำนวนมากและซับซ้อน แต่ยอมรับว่าแม้ขณะนี้จะยึดทรัพย์ไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าจะตัดวงจรยาเสพติดให้ค้ายาได้ยากขึ้น
ส่วน พล.ต.อ. สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คณะทำงานสืบสวน ได้ทำการขยายผล เพื่อยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด โดยมุ่งเน้นทำลายเครือข่าย ซึ่งจากทุกหน่วยร่วมมือกัน สามารถยึดทรัพย์สิน ได้จำนวน 2,000 รายการ มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาทประกอบด้วย บ้านพร้อมที่ดิน 7 รายการ โรงงาน 1 รายการ เงินสด 25.9 ล้านบาท รถยนต์ 400 คัน จักยานยนต์ 300 คัน ทอง 600 รายการ ปืน 27 กระบอก และอื่นๆ อีกกว่า 400 รายการ
จากการทำลายเครือข่ายยาเสพติด สามารถดำเนินคดีได้ 4 เครือข่าย รวมมูลค่า 74 ล้านบาท คือ เครือข่ายที่ 1 นายฟ้าใส ไชยะสิงห์ ชาวลาว จากการตรวจยึดไอซ์ 298 กิโลกรัม เครือข่ายที่ 2 นายสุภาพ แซ่ส้ง จากการตรวจยึดยาบ้า 10 ล้านเม็ด เครือข่ายที่ 3 นายอดิเรศ จริตงาม จากการตรวจยึดยาบ้า 3 แสนเม็ด และเฮโรอีน 800 กรัม และเครือข่ายที่ 4 Mr.kum chee cheong จากการติดตามหลังนำทรัพย์สินจากการค้ายาเสพติดให้ น.ส.นันท์นภัส ยงค์วานิช