เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มอบเงินจำนวน 300,000 บาท เพื่อสมทบทุนเข้าโครงการ “สู้วิกฤตให้น้องอิ่ม คนละมือเพื่อมื้อน้อง”
โดยมี ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร กสศ. เป็นผู้รับมอบเพื่อนำไปช่วยเหลือด้านอาหารกลางวันแก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนพิเศษที่มีจำนวนกว่า 750,000 คน ทั่วประเทศและกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหารคุณภาพ
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีมีเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนและส่งเสริมเรื่องการศึกษาของเยาวชนไทยมาอย่างต่อเนื่อง การได้องค์กรที่มีพันธกิจด้านการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา อย่าง กสศ. มาเป็นพันธมิตรร่วมดำเนินงาน จะช่วยต่อยอดให้องค์กรของเรามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาของเด็กไทยในหลายมิติมากยิ่งขึ้น นอกจากด้านการศึกษา การสอนเรื่องวินัยทางการเงิน และสุขอนามัยส่วนบุคคลเป็นปัญหาอีกด้านที่เราจะเข้ามาสนับสนุนให้กับเด็กที่ยากไร้และด้อยโอกาส
ทั้งนี้ นอกจากการมอบเงินสนับสนุนให้กับ กสศ. แล้ว ธนาคารกรุงศรียังเป็นสื่อกลางช่วยประชาสัมพันธ์ให้พันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้าของธนาคารร่วมบริจาคเงินสมทบทุนผ่านทางเคาท์เตอร์สาขาและระบบออนไลน์ของธนาคาร เพื่อที่จะสนับสนุนให้ กสศ. มีทุนดำเนินโครงการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาของเด็กที่มีฐานะยากจน
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิท-19 ทำให้โรงเรียนทุกแห่งต้องเลื่อนการเปิดเทมอออกไป ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เรื่องการเรียนการสอน ยังกระทบเรื่องโภชนาการของเด็กที่มีฐานะยากจนเป็นพิเศษ เพราะเด็กกลุ่มนี้อาหารเช้าและอาหารกลางวันที่โรงเรียนถือเป็นมื้อสำคัญ ถ้าขาดอาหารก็จะทำให้พัฒนาการทางสมองและร่างกายกระทบไปด้วย กสศ. เล็งเห็นความสำคัญของปัญหา จึงอนุมัติเงินส่วนหนึ่งเพื่อจัดโครงการดังกล่าวขึ้น ซึ่งเงินจำนวนนี้จะช่วยเหลือเรื่องโภชนาการของเด็กได้แค่ 30 วัน
“ที่ผ่านมา กสศ. ช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ไปแล้วกว่า 753,957 คน แต่เมื่อโรงเรียนปิดเทอม 46 วัน อีก16วัน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชน อย่างเช่น ธนาคารกรุงศรี ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม และแม้ขณะนี้จะมีภาคเอกชนสนใจเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก มียอดเงินบริจาคทุกช่องทางจำนวน10,066,765.48 บาท แต่ยังไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือ เพราะหากคำนวนมื้ออาหารของเด็กกลุ่มนี้ในเวลาอีก16 วัน ต้องใช้งบประมาณถึง200 กว่าล้าน ดังนั้นเราคาดหวังว่าท้องถิ่นและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง จะเล็งเห็นความสำคัญ และให้การสนับสนุนช่วยเหลือกลุ่มเด็กยากจนในพื้นที่ของตนเองเพิ่มเติม” ดร.ประสาร กล่าว
สำหรับผู้ต้องการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนกลุ่มดังกล่าวสามารถร่วมบริจาคเข้าโครงการ “สู้วิกฤตให้น้องอิ่ม คนละมือ เพื่อมื้อน้อง” ผ่านบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงศรีอยุยา สาขาสนามเป้า ชื่อบัญชี กสศ.- มาตรา 6(6) -เงินบริจาคเลขที่ 146-0-02541-2 หรือ www.eef.or.th/donate-covid/ สอบถามโทร. 0-2079-5475 โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า