เมื่อเร็ว ๆนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ พญ.วันทนีย์ วัฒนะรองปลัดกรุงเทพมหานคร, นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมร่วมกับ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สปสช. และ นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 13 กทม. เพื่อหารือความร่วมมือในการดูแลประชาชนในพื้นที่ กทม. ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีหน่วยบริการประจำถูกยกเลิกสัญญาการเป็นหน่วยบริการประจำในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กทม. เข้าร่วม
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า การเข้าถึงบริการสุขภาพของชาว กทม. เป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญของ กทม. ที่ผ่านมาชาว กทม. ส่วนหนึ่งเข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสุขภาพโดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ “บัตรทอง” ผ่านคลินิกเอกชนในการช่วยดูแล แต่จากกรณีที่ สปสช. ยกเลิกสัญญากับคลินิกเอกชนที่เบิกค่าบริการไม่ถูกต้องทำให้กระทบต่อประชาชน โดยการยกเลิกสัญญารอบแรกมีประชาชน 2 แสนคน ที่ได้รับผลกระทบ ทาง กทม. จึงร่วมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนหน่วยบริการใหม่ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขไปแล้ว แต่ในรอบที่ 2 และ 3 ที่ สปสช. ยกเลิกสัญญาคลินิกเอกชนเพิ่มเติม ด้วยจำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบมากถึง 1.9 ล้านคน
ทำให้หน่วยบริการเขต กทม.ที่มีอยู่ในระบบ 137 แห่ง ไม่เพียงพอต่อการรองรับได้ เพื่อดูแลชาว กทม.ที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นที่ผ่านมา กทม. และ สปสช. ได้มีการหารือนอกจากแก้ปัญหาแล้ว วางแนวทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพใน กทม. ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมการดูแลยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ
ข่าวเกี่ยวข้อง
เปิดขั้นตอนตรวจสอบและใช้สิทธิกรณีหน่วยบริการบัตรทองถูกยกเลิก
เช็กวิธีตรวจสอบสิทธ์บัตรทอง 'รพ.-คลินิก'ที่ยกเลิกสัญญา
ด่วน! สปสช.ยกเลิกคลินิก-รพ.บัตรทองเพิ่มอีก 108 แห่ง
ทั้งนี้การประชุมร่วมกันระหว่าง กทม. และ สปสช. เราเห็นด้วยในหลักการที่มีเป้าประสงค์เดียวกันคือประชาชน โดยหน่วยบริการทุกระดับของ กทม.จะให้บริการผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบโดยไม่มีการปฏิเสธและไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการจากประชาชน และเห็นชอบให้ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. 69 แห่ง เป็นแม่ข่ายการให้บริการปฐมภูมิในพื้นที่และกำกับคุณภาพบริการของคลินิกที่จะเข้าร่วม คาดกว่าจะมีคลินิกเอกชนจำนวนมากเข้าร่วม โดยจะรีบส่งรายชื่อคลินิกเอกชนที่ร่วมเครือข่ายให้ สปสช โดยเร็วที่สุด
"คาดว่าจะสามารถให้ชาว กทม.ที่รับผลกระทบเลือกหน่วยบริการประจำได้ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ ขณะที่ในส่วนโรงพยาบาลสังกัด กทม. จะทำหน้าที่ให้บริการผู้ป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาลโดยแบ่งความรับผิดชอบเป็นโซน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จะต้องเดินหน้าควบคู่กับนโยบายการพัฒนาการให้บริการสุขภาพของ กทม. โดยเฉพาะการลดการรอคอยบริการ รอพบแพทย์ไม่เกิน 60 นาที และลดความแออัดในโรงพยาบาล" ผู้ว่ากทม. กล่าว
ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า จากการหารือกับท่านผู้ว่าฯกทม. ประเด็นหารือไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่เป็นการยกระดับบริการสุขภาพในพื้นที่ กทม. ในอนาคต ทั้งในส่วนระบบบริการปฐมภูมิ ระบบส่งต่อและบริการผู้ป่วยใน ซึ่งต้องขอบคุณทาง กทม. โดยเฉพาะท่านผู้ว่าฯ กทม. และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ทั้งสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย และรองปลัดที่ดูแล
ในส่วนของ สปสช. จะได้เร่งดำเนินในส่วนของการพัฒนาระบบพื้นฐานเพื่อรองรับ ทั้งการเชื่อมโยงข้อมูล ระบบการเบิกจ่ายค่าบริการ งบประมาณดำเนินการและการลงทุนในส่วนต่างๆ เพื่อเข้ามาเสริมและสนับสนุน นอกจากนี้ยังได้หารือถึงความร่วมมือในการลดความแออัดในโรงพยาบาลจากกลไกที่ สปสช. ดำเนินการอยู่ ทั้งโครงการเจาะเลือดผู้ป่วยที่บ้าน โครงการผู้ป่วยรับยาที่ร้านยา และโครงการจัดส่งยาทางไปรษณีย์ เพื่อสนับสนุนนโยบายของท่านผู้ว่าฯ กทม. ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้
“รพ.มงกุฎวัฒนะ" เปิด OPD ถึงเที่ยงคืน
ด้านพล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ทำการยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการเอกชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่ กทม. ส่งผลให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจำนวนมากมีสถานะเป็นสิทธิว่างซึ่งหมายถึงไม่มีหน่วยบริการประจำ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะร่วมกับ สปสช. ให้การดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ปรากฎว่าปัจจุบันมีแนวโน้มผู้ป่วยที่เป็นสิทธิว่างมารับบริการที่คลินิกผู้ป่วยนอกจำนวนมาก
ดังนั้น ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าโรงพยาบาลเปิดให้บริการคลินิกผู้ป่วยนอกจนถึงเวลาเที่ยงคืน ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องมาแออัดในเวลากลางวันแต่อย่างใด