นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง คาดการณ์วานนี้ (27 ธ.ค.) ว่า ตลาดการเงินจะผันผวนรุนแรงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปี 2563 หลังยอดติดเชื้อโควิด-19 พุ่งในประเทศ เขา เสนอให้รัฐจัดสรรงบเพิ่มเติมนอกเหนือจากเดิมที่ตั้งไว้ 6,000 ล้านบาท เพื่อ ซื้อวัคซีนจำนวนมากพอจะฉีดให้กับประชาชนอย่างน้อย 80% ของประชากรทั้งประเทศในปีหน้า เพื่อควบคุมสถานการณ์และสามารถเปิดประเทศได้ในช่วงไตรมาส3/2564
ประกอบกับมีรายงานข่าวการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีรายการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์จากอังกฤษในประเทศญี่ปุ่น การติดเชื้อระลอกสองและระลอกสามในเอเชีย ทำให้ภูมิภาคเอเชียซึ่งควรเป็นภูมิภาคที่มีการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากกว่าและเร็วกว่าภูมิภาคอื่นอาจมีเสี่ยงและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นในเอเชียรวมทั้งไทยอาจถูกเทขายหนักในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีและโยกเงินไปยังตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า เคลื่อนย้ายไปยังตลาดตราสารหนี้และทองคำมากขึ้น
ขณะที่ความเสี่ยงปัญหา Government Shutdown ในสหรัฐอเมริกาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ยอมลงนามกฎหมายมาตรการดูแลเศรษฐกิจ สภาวะดังกล่าวอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโลกมากขึ้น และ เป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและค่าเงินดอลลาร์ ดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์สุดท้ายของปีมีโอกาสเกิดการเทขายทำกำไรและดัชนีอาจหลุดลงต่ำกว่าแนวรับ 1,400 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,380 จุดได้ ส่วนเงินบาทมีแนวโน้มทรงตัวในช่วงปลายปีแต่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีกในช่วงไตรมาสหนึ่งปีหน้าจากการหดตัวของการนำเข้าทำให้มีการเกินดุลการค้าในสัดส่วนที่สูง
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยต้องควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดหลายกลุ่ม (Multiple Clusters) และ การแพร่ระบาดใหญ่หลายเหตุการณ์ (Multiple Superspreading Events) ให้ได้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ หากสามารถดำเนินได้อย่างมีประสิทธิผลย่อมทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้เหมือนระลอกแรก ช่วงสองเดือนนี้จึงควรงดจัดกิจกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19 ทั้งหมด ควรงดกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมากทั้งหมด (ยกเว้นสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด) ออกไปก่อนอย่างน้อยสองเดือน
ส่วนการจัดสรรงบ 6,000 ล้านบาทเพื่อจองซื้อวัคซีนนั้น เห็นว่าไม่เพียงพอต่อการดูแลประชาชน จึงขอเสนอให้รัฐบาลจัดหางบประมาณเพิ่มเติมจัดซื้อวัคซีนฟรีสำหรับประชาชน และจองซื้อให้ครอบคลุมประชากรไม่ต่ำกว่า 80% ของประเทศ เพื่อเปิดประเทศภายในไตรมาสสามปีหน้าให้ได้
“งบประมาณ 6,000 ล้านบาทนั้นสามารถสั่งซื้อวัคซีนได้เพียงแค่ 26 ล้านโดส สร้างภูมิคุ้มกันคนได้เพียง 13 ล้านคนเท่านั้น เราต้องทำให้ประชาชนรวมทั้งแรงงานต่างด้าวในไทยมีภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 53-54 ล้านคน ประเทศจึงจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมให้กับสู่ภาวะปรกติได้เร็วขึ้น ลดความยากลำบากทางเศรษฐกิจอันนำไปสู่ปัญหาการฆ่าตัวตายและปัญหาวิกฤติการเมืองรุนแรงยิ่งขึ้น” นายอนุสรณ์กล่าว
นอกจากนี้ ยังมองว่า การจองซื้อและนำเข้าวัคซีนไม่ต่ำกว่า 107 ล้านโดสเป็นสิ่งที่ต้องทำ รัฐบาลต้องไปตัดลดงบประมาณไม่จำเป็นอื่น ๆทั้งหมด เพราะการลดอัตราการป่วย การลดอัตราการเสียชีวิตและลดปัญหาสุขภาพที่ติดตามมาจาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องเฉพาะหน้าและเรื่องสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องทำให้สำเร็จภายในปีหน้า หากไทยไม่สามารถเปิดประเทศได้ภายในไตรมาสสามปี2564 จะมีคนว่างงานเพิ่มอีกหลายล้านคน มีธุรกิจล้มละลายอีกมาก รวมทั้งระบบสถาบันการเงินจะมีปัญหาอย่างแน่นอน จึงขอเสนอให้มีการจัดสรรงบจองซื้อวัคซีนอีก 18,692 ล้านบาท หากงบกรมควบคุมโรคและงบกลางเพื่อจัดซื้อวัคซีนไม่เพียงพอขอให้รัฐบาลพิจารณาตัดลดงบประมาณส่วนอื่นมาเพิ่มเติมให้ หรือ กู้เงินเพิ่ม เพื่อทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าถึงวัคซีนได้
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการฉีดวัคซีนได้โดยเสียค่าบริการสำหรับผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี รัฐบาลควรเดินหน้าเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ถือครองโดยบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงถึงสูงมาก เพื่อนำมาจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือชดเชยรายได้ให้กับระชาชนที่กำลังจะว่างงานระลอกใหม่และช่วยเหลือกิจการขนาดเล็กและขนาดย่อย นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณาลดการจ่ายเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูของธนาคารพาณิชย์เพื่อธนาคารจะได้ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมให้ลูกค้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รู้จักวัคซีน AZD1222 ของแอสตร้าเซนเนก้า ที่ไทยเลือกใช้
ข่าวดี! คนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 กลางปีหน้า
“อรุณรุ่ง” วิกฤตโควิดยุโรป อียูเริ่มการฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว