วันที่ 31 ธันวาคม 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกล่าสุด 31 ธันวาคม 2563 ผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า ช่วงสายๆ จะทะลุ 83 ล้าน
ส่วนอเมริกาจบท้ายปีด้วยจำนวนรวมเกิน 20 ล้านไปแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 781,378 คน รวมแล้วตอนนี้ 82,988,281 คน ตายเพิ่มอีก 16,443 คน ยอดตายรวม 1,809,938 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 252,608 คน รวม 20,171,605 คน ตายเพิ่มอีกถึง 4,148 คน ยอดตายรวม 349,943 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 22,007 คน รวม 10,267,283 คน
บราซิล ติดเพิ่มถึง 55,649 คน รวม 7,619,200 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 26,513 คน รวม 3,131,550 คน
ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 26,457 คน รวม 2,600,498 คน
อันดับ 6-10 เป็น ตุรกี สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักหมื่นต่อวัน
เมื่อวานนี้สหราชอาณาจักรติดเชื้อเพิ่มเกินห้าหมื่นคนติดต่อกันเป็นวันที่สอง สถานการณ์น่าเป็นห่วงมาก สอดคล้องกับที่ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงสุขภาพของเค้าออกมายอมรับว่าควบคุมโรคไม่ได้ สิ่งที่น่าติดตามกันอย่างใกล้ชิดคือไวรัสที่กลายพันธุ์ของสหราชอาณาจักรกำลังแพร่ไปตามประเทศต่างๆ มากขึ้น โดยจากงานวิจัยล่าสุดคาดว่าจะแพร่เร็วขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิม 56% แม้เมืองไทยจะยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับสายพันธุ์ของสหราชอาณาจักร แต่ต้องไม่ประมาท
ฝั่งอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
เมียนมาร์ติดเพิ่มหลายร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่เวียดนามติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 587 คน ตายเพิ่มอีก 27 คน ตอนนี้ยอดรวม 123,740 คน ตายไป 2,664 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1%
สำหรับเมืองไทยเรา คงต้องยอมรับว่า "เอาไม่อยู่" การระบาดกระจายไปทั่ว
ที่น่าหนักใจคือ การติดเชื้อนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มีมากมายหลายกลุ่ม และขยายออกไปนอกวงจนทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในสังคมมีโอกาสที่ติดเชื้ออยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากการติดเชื้อนั้นกระจายครอบคลุมแทบทุกมิติของการดำเนินชีวิตประจำวัน สังเกตได้จากลักษณะประชากรที่ติดเชื้อ มีทั้งชายและหญิง ตั้งแต่เด็กเล็กจิ๋วไปจนถึงคนสูงอายุ หลายหลายอาชีพ มีทุกสถานที่ตั้งแต่บ่อน ปาร์ตี้ส่วนตัว ตลาด สถานบันเทิงหลากหลายประเภท ฯลฯ
มาถึงจุดนี้ ก็ต้องทำ 2-3 เรื่องเพื่อวางรากฐานสำหรับอนาคต
1. การบริหารจัดการต่อสู้กับโรคระบาดตั้งแต่บัดนี้ไปจนเสร็จสิ้นศึกสงครามโรคระบาด จำเป็นจะต้องบริหารแบบรวมศูนย์เพื่อติดตามกำกับสถานการณ์ วิเคราะห์ วางแผน สั่งการ ให้ทุกองคาพายพทั้งประเทศดำเนินการได้อย่างทันที มีทิศทางเดียวกัน ไม่ควรกระจายอำนาจตัดสินใจกลับไปยังกระทรวงแบบแยกส่วนดังที่เห็นมาหลังจากเสร็จระลอกแรก ตราบใดที่สงครามนี้ยังไม่จบ แค่ทุเลาตามระลอก ก็ไม่สามารถผ่อนแรงได้
ขอให้เรียนรู้บทเรียนครั้งนี้ เจ็บแล้วต้องจำ เพราะกระจายอำนาจกลับไปก็เห็นชัดเจนว่า เกิดความประมาท และไม่มีการถ่วงดุลอำนาจตัดสินใจเชิงนโยบาย หาเส้นแบ่งระหว่างงานสุขภาพและงานพาณิชย์ไม่ได้
2. ระบบการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 จำเป็นต้องได้รับการลงทุนเพิ่มให้มีศักยภาพการให้บริการประชาชนในระยะยาว เพราะโรคนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน และระลอกถัดๆ ไปจะมาอย่างแน่นอน ระบบนี้จำเป็นต้องสามารถตรวจได้จำนวนมากในแต่ละวัน อย่างน้อยประชาชนต้องสามารถตรวจได้ฟรี 2 ครั้งต่อคนต่อปี ควรทำได้เฉลี่ยราว 400,000 ตัวอย่างต่อวัน แต่ในปัจจุบันตรวจได้จำกัด เต็มที่ที่สุดประมาณ 15,000-20,000 ตัวอย่างต่อวัน
3. ลด ละ เลิก การสรรหานโยบายที่จะนำความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำเข้ามาสู่ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการโกยนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา หรือการลดวันกักตัวหรือไม่กักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ
ตราบใดที่การระบาดทั่วโลกยังรุนแรง ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะเหยียบคันเร่งเรื่องเศรษฐกิจ ต้องประคับประคองตัวให้รอด ครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ถ้าระบาดซ้ำ ไม่มีทางเอาอยู่ ประเทศที่ร่ำรวยกว่าไทยและมีทรัพยากรในระบบสุขภาพเยอะกว่าเรา ก็ล้มระเนระนาดมาแล้ว
ตามหลักการแล้ว หน่วยงานและบุคลากรด้านสุขภาพ ต้องทำหน้าที่หลักในเรื่องป้องกัน ปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ไม่ใช่มีภารกิจหาเงินครับ และต้องทำหน้าที่ทักท้วงหากเห็นนโยบายหรือมาตรการที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยง คุกคามสุขภาพของประชาชน
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่...
สิ่งที่ประชาชนทุกคนต้องทราบคือ ตอนนี้วิกฤติมากครับ และเราอาจต้องสู้ระลอกสองนี้อย่างยาวนานกว่าเดิม แต่เราสามารถช่วยบรรเทาการระบาดนี้ได้ด้วยตัวเราเองทุกคน
"ขอให้วันนี้อยู่กับบ้านนะครับ ไม่ควรไปฉลองข้างนอกไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร สังสรรค์เพื่อนฝูง ชมพลุหรือแสงสีเสียงใดๆ" เพราะหากออกไป จะมีโอกาสติดเชื้อหรือแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว และจะทำให้การระบาดทวีความรุนแรงขึ้นมาก โดยจะเห็นใน 1-2 สัปดาห์ถัดจากนี้ไป
ถึงเวลาที่จำเป็นจะต้อง "อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ" อีกครั้ง
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้เราปลอดภัย สามารถสู้ศึกนี้ได้ด้วยแรงกายแรงใจแรงปัญญาอย่างไม่ท้อถอย และได้โปรดคุ้มครองท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครให้หายป่วยโดยเร็วครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"หมอธีระ" ลั่น ควรลด-ละ-เลิก-นโยบายที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำ
"หมอยง"ชี้โควิด19 ใครคือผู้สมควรได้รับวัคซีนก่อน
ยอดโควิด 31 ธ.ค.63 ทั่วโลกผู้ป่วยเพิ่ม 6.87 แสนราย รวม 83.01 ล้านราย