นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ในการจัดตั้ง ทั้งระบบตัวอาคาร ระบบจัดการน้ำเสีย และระบบระบายอากาศ มีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขประจำ รวมทั้งการจัดโซนนิ่งให้ห่างจากชุมชน ช่วยรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมากๆ มาอยู่รวมกัน ซึ่งส่วนใหญ่ 80% ไม่มีอาการ เพื่อให้โรงพยาบาลปกติมีเตียงในการดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ในพื้นที่ต่อไปได้
ขณะนี้ จัดตั้งโรงพยาบาลสนามแล้ว 8 แห่งใน 5 จังหวัด ทุกแห่งทำตามแนวทางความปลอดภัย ไม่ให้มีการนำเชื้อสู่ภายนอกหรือชุมชน
นอกจากนี้ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม จะมีอสม.ช่วยทำความเข้าใจประชาชนถึงเหตุผลความจำเป็นในการจัดเตรียมโรงพยาบาลสนาม ไว้รองรับหากมีผู้ป่วยจำนวนมากๆ แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องจัดตั้ง จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้
นพ.สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การออกแบบโรงพยาบาลสนาม จะใช้ผู้เชี่ยวชาญจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทั้งสถาปนิก วิศวกร รวมทั้งนักระบาดวิทยา และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ หารือและกำหนดแนวทางต้นแบบจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อความปลอดภัยต่อชุมชนและประชาชนมากที่สุด
การดำเนินงานนแบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ 1. การสนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินการโรงพยาบาลสนามโดยมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลกับคนในชุมชนผ่านกลไกประชาคม ท้องถิ่น และ อสม. หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ ไม่มีการปกปิดข้อมูล หรือแจ้งเหตุที่คิดว่าไม่ปลอดภัยได้ เพื่อการตรวจสอบ และแก้ไขไม่ให้เกิดการติดเชื้อออกมาสู่ชุมชน 2. อาคาร สถานที่ และสิ่งแวดล้อม จุดสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลสนามมี 5 ลักษณะ คือ พื้นที่ที่โล่งว่างเปล่าห่างไกลชุมชน, โรงยิม หอประชุม สนามกีฬาที่ห่างไกลจากชุมชน, พื้นที่โล่งในโรงพยาบาล, อาคารหอผู้ป่วยที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ และสถานกักกันของรัฐทางเลือกที่เปลี่ยนแปลงเป็นโรงพยาบาลสนาม
3.ด้านกฎหมาย การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามจัดตั้งอย่างถูกต้อง ภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่กำหนดสถานที่ และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอนุญาตให้จัดตั้งเฉพาะกรณีโรคโควิด 19 เท่านั้น โดยได้รับการยกเว้นจาก พ.ร.บ.สถานพยาบาล และ 4.การรักษาพยาบาล ได้ยึดแนวทางมาตรฐานการรักษาของกรมการแพทย์ เพื่อให้คนป่วยปลอดภัยที่สุด หากเกิดเหตุฉุกเฉินมีระบบส่งต่อ
สธ. มีต้นแบบโรงพยาบาลสนาม ที่นำไปปรับใช้ในแต่ละพื้นที่ได้ แบ่งเป็นโซนสีเหลืองสำหรับผู้ติดเชื้อส่วนสีเขียวของเจ้าหน้าที่ และโซนสีส้มคือห้องน้ำและขยะติดเชื้อ ซึ่งออกแบบให้มีระบบท่อบำบัดแยกต่างหากไม่ไปเกี่ยวข้องกับกับท่อน้ำเสียของสถานที่นั้นๆ โดยมีการใส่คลอรีนและน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อบำบัด และทดสอบน้ำในละแวกใกล้เคียงว่ามีเชื้อโควิด 19 หรือไม่
นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติงานในโซนผู้ติดเชื้อ เมื่อกลับออกมาต้องอาบน้ำและถอดชุด ป้องกันการติดเชื้อเข้ามาในส่วนปฏิบัติงาน และผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้วก่อนกลับบ้าน ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้มีเชื้อเปื้อนเสื้อผ้ากลับไปสู่ชุมชน