สยาม ฟอเรสทรี สร้างสวนไม้ยั่งยืนพัฒนารายได้เกษตรกร

20 มี.ค. 2564 | 06:50 น.

หากพูดถึงเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) กลุ่มเอสซีจี ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ดำเนินธุรกิจทางด้านนี้อย่างชัดเจน สอดคล้องไปกับแนวโน้มของตลาดโลก ที่มีความใส่ใจกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน สินค้าหรือบริการที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ จะเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากขึ้น

และนั่นคือแนวทางที่ทำให้ “มหาศาล ธีรวรุตม์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด กลุ่มธุรกิจในเครือเอสซีจีแพคเกจจิ้ง (SCGP) ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ สร้างรูปแบบของระบบการจัดการสวนไม้อย่างยั่งยืน ตามมาตรฐาน Forest Stewardship Council (FSC) ควบคู่ไปกับนวัตกรรมยูคาลิปตัสสายพันธุ์ใหม่ และการวางแผนการปลูกไม้เชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร

“มหาศาล” เล่าว่า สยามฟอเรสทรี เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 2535 เป็นผู้ให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับไม้ยูคาลิปตัส ก่อนหน้านี้ ดำเนินการรับซื้อไม้ยูคาลิปตัสจากเกษตรกรรายย่อย เพื่อนำมาผลิตเยื่อไม้สำหรับการทำแพ็คเกจจิ้ง แต่ 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนารูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ลูกค้ามีความต้องการไม้ที่มาจากป่าปลูกอย่างยั่งยืน ได้รับการรับรองจาก FSC สยามฟอเรสทรี จึงปรับเปลี่ยนธุรกิจ พร้อมทำโครงการเพิ่มมูลค่าพื้นที่ว่าง ร่วมกันสร้างป่ายั่งยืน โดยบริษัทเข้าไปเช่าพื้นที่จากเกษตรกร ทำเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ปลูกยูคาลิปตัสด้วยการบริหารจัดการแบบสวนป่าอย่างยั่งยืน โดยมี FSC เข้ามาตรวจสอบรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน

 

มหาศาล ธีรวรุตม์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด

 

“การเริ่มธุรกิจนี้ ในเอสซีจีแพ็คเกจจิ้ง เราทำตั้งแต่ต้นนํ้า ผลิตกล้าป่า ส่งเสริมเกษตรกรปลูกป่า และรับซื้อคืน และเป็นการสับไม้ เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเยื้อ ซัพพอร์ตโรงงานของเอสซีจีพีเอง และส่งให้ญี่ปุ่นและจีน ตั้งแต่ทำมาประมาณ 2 ปี เราสร้างสวนป่าขนาดใหญ่ได้ 5.1 หมื่นไร่ และเราตั้งเป้าขยายให้ได้ปีละ 5 หมื่นไร่ เพื่อให้ได้ไม้ 1 ล้านตันต่อปี คิดเป็น 60% ของไม้ในกระบวนการผลิตของเรา”

เป้าหมายของสยามฟอเรสทรี หลังปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ คือ “สร้างมูลค่าพื้นที่ว่าง สร้างทรัพยากรใหม่” ปลูกแล้วตัดไปใช้ หลังจากนั้นก็ปลูกทดแทนได้เรื่อยๆ ไม่ใช่ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน...สองปีที่ผ่านมา เราเลยทำจริงจัง เพื่อสนองลูกค้าที่ต้องการไปทำแพ็คเกจจิ้งลูกค้าปลายทาง

สยาม ฟอเรสทรี สร้างสวนไม้ยั่งยืนพัฒนารายได้เกษตรกร การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ มาเน้นเป็นพื้นที่แปลงใหญ่ พัฒนาเป็นสวนป่ายั่งยืนตามมาตรฐาน FSC ไม่ได้มีอุปสรรคแต่อย่างใด จากโจทย์ที่ตั้งไว้ คือ พื้นที่ใกล้โรงงาน ได้แก่ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคอีสาน และภาคตะวันตก เป็นพื้นที่ที่ลักษณะดินเหมาะสมกับการปลูกต้นไม้อยู่แล้ว และมีพื้นที่ว่างเปล่าที่เจ้าของต้องการเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ มีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 25 จังหวัด รวมประมาณ 130 แปลง โดยประมาณ 20-30% เป็นที่แปลงใหญ่ขนาด

“มหาศาล” บอกว่า สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่บริษัทรับซื้อ ก็ได้มาตรฐาน FSC เช่นกัน แต่เป็นระดับต้น ซึ่งบริษัทมีทีมงานเข้าไปให้ความรู้ ในการปลูกไม้ให้ได้ตามมาตรฐาน FSC อยู่แล้ว แม้ต้นทุนในการปลูกตามมาตรฐาน FSC จะสูงขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึง 5% และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทางบริษัทก็ซัพพอร์ตให้ทั้งหมด โดยต่อไร่ จะปลูกยูคาลิปตัสได้ไร่ละ 14-15 ตัน สร้างรายได้ประมาณ 1.2 หมื่นบาท ต่อ 4-5 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการด้วยว่าดีหรือเปล่า

“ยูคาลิปตัส เป็นไม้ต้นนํ้าของการผลิตแพคเกจจิ้ง เราต้องรักษาให้ยั่งยืน ไทยมีการส่งออกไม้ไปจีน ญี่ปุ่น 4-5 ล้านตันต่อปี และอีก 2 ปี ญี่ปุ่นจะรับซื้อ ไบโอแมส เพื่อใช้ทดแทนพลังงานนิวเคลียร์ และลดกรีนเฮ้าแก๊สของโลก ก็จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี และสามารถสร้างรายได้ที่ไม่ผันผวน ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนเสริมตัวแทน นายหน้า เพื่อให้ได้พื้นที่มากขึ้น รวมไปถึงการขยายตลาดใหม่ๆ”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สยาม ฟอเรสทรี สร้างสวนไม้ยั่งยืนพัฒนารายได้เกษตรกร

“มหาศาล” บอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ร่วมงานกับสยามฟอเรสทรี ระยะเวลากว่า 6 ปี ความท้าทายของการดำเนินธุรกิจ คือการหาพื้นที่ และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ได้ไม้ที่มีประสิทธิภาพดี ลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ไฟไหม้ หรือแมลงต่างๆ ทำให้มีการพัฒนายูคาลิปตัสให้มีสายพันธุ์ที่หลากหลาย...ทุกปีไม่เคยนิ่ง จะมีโปรเจคใหม่ๆ การพัฒนาปรับปรุง เรื่องการเช่าพื้นที่ปลูก เราก็อยากพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เรามีองค์ความรู้ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่ดีขึ้น

 

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 24 ฉบับที่ 3,662 วันที่ 18 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2564